ยินดีต้อนรับสู่ clubrich-4u

ถ้าคุณคือมนุษย์เงินเดือน ทำงานไปวันๆ ต้องอ่าน

สำหรับคนอยากรวยต้องทำอย่างไร เพื่อให้ได้มาซึ่งอิสระทางด้านการเงิน เวลา สุขภาพ สร้างได้ไม่ยากด้วยตัวคุณเอง สนใจร่วมงานกับเรา club-rich4u

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บัญญัติ 10 ประการ อยากรวย ต้องรู้

บัญญัติ 10 ประการ "อยากรวย ต้องรู้"


  1. "ความรู้ทางการเงิน" สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่า "ความรู้ทางการงาน" เพราะในชีวิตของคนเราทุกคนนั้น จะมีช่วงที่จะสามารถหา "รายได้จากการทำงาน" (you at work) จำกัด และจะต้องมีชีวิตหลังเกษียณค่อนข้างยาวนาน จึงต้องรู้วิธีที่จะ "ใช้เงินให้ทำงาน" (money at work) 

  2. การออมเป็น "เกมแห่งระยะเวลา" (game of time) ใครเริ่มต้นก่อน ก็รวยก่อน เพราะยิ่งทิ้งไว้นาน ยิ่งได้เป็นกอบเป็นกำ ถือเป็น "เงื่อนไขจำเป็น" ของทุกคนที่มีเป้าหมายต้องการบรรลุสู่อิสรภาพทางการเงิน

  3. การลงทุนเป็น "เกมแห่งจังหวะเวลา" (game of timing) ต้องรู้จังหวะในการเข้าออกจากตลาดที่เหมาะสม ซื้อเมื่อต่ำ ขายเมื่อสูง หยุดเมื่อสงสัย เพราะถ้าหากเข้าผิดจังหวะ ยิ่งทิ้งไว้นาน จะยิ่งเสียหายมาก และทำให้โอกาสที่จะได้ทุนคืนยากขึ้นเรื่อยๆ (losses are harder to regain)

  4. การตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนไม่ใช่การตัดสินใจซื้อสินค้าสำเร็จรูป (product) แบบที่ตัดสินใจตอนซื้อครั้งเดียวจบ ถ้าไม่ได้ผล หรือใช้แล้วไม่พอใจ ก็ทิ้งมันไว้เฉยๆ จริงๆ แล้วการลงทุนเป็นกระบวนการ (process) ที่ต้องมีการเอาใจใส่ ติดตามผล และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลอดเวลา

  5. หนทางไปสู่ความสำเร็จไม่ได้มีเพียงเส้นทางเดียว จุดสำคัญในการบริหารการลงทุนนั้นไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ วิธีการ หรือสไตล์ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเพียง "เกมภายนอก" (outer game) แต่เป็นเรื่องของทัศนคติ วิธีคิด พลังใจ ซึ่งเป็น "เกมภายใน" (inner game)

  6. ลำพังแค่การ "เอาชนะดัชนี" (beat the index) ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ไม่มีใคร "เอาชนะตลาด" (beat the market) ได้ เคล็ด (ไม่) ลับในการจะยืนหยัดอยู่ในเกมการลงทุนอย่างตลอดรอดฝั่งในฐานะ "ผู้ชนะ" นั้น อยู่ที่การยืนอยู่ข้างเดียวกับตลาดไม่ใช่ฝืนตลาด 

  7. ความสำเร็จในการลงทุนไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน จริงๆ แล้วมันอาจเปรียบได้กับการวิ่งแข่งระยะไกล (marathon) ไม่ใช่การวิ่งแข่ง 100 เมตร (sprint) ดังนั้น คุณจะต้อง "รู้จักตัวเอง"  (know yourself) ว่าอะไรคือสไตล์การลงทุนที่เหมาะสมที่เข้ากันได้กับความสามารถในการรับความเสี่ยง (risk attitude) และทักษะในการลงทุน (risk aptitude) เพราะนั่นคือ "ระบบ" ที่คุณต้องใช้ในเพื่อ "ทำธุรกิจ" นี้ในระยะยาว

  8. ในการใช้เงินต่อเงินนั้น คุณต้อง "รู้จักเครื่องมือ" (know the vehicle) ว่ามีลักษณะและรูปแบบการให้ผลตอบแทนอย่างไร มีข้อดี ข้อเสีย และข้อจำกัดอะไรบ้าง 

  9. นอกจากนี้ คุณต้อง "รู้จักตลาด" (know the market) คือ รู้ว่าตลาดการเงินมีธรรมชาติเป็นอย่างไร อะไรคือสาเหตุเบื้องหลังที่ทำให้เกิดการกระเพื่อมขึ้นลงของตลาด และรู้วิธีการในการบริหารความเสี่ยงในการลงทุนว่าต้องแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร

  10. อย่าติดอยู่ในกับดักของ "การบริโภคข้อมูลเกินขนาด" (information overload) ซึ่งมัวแต่สนใจหาข้อมูล ศึกษา วิเคราะห์ จนไม่กล้าลงมือปฏิบัติ (analysis paralysis) เพราะมีความเชื่ออย่างผิดๆ แบบพวกมองโลกสมบูรณ์แบบ (perfectionist) ว่าถ้ามีข้อมูลที่สมบูรณ์จะไม่เกิดความผิดพลาด (zero-defect mentality) จริงๆ แล้ว หัวใจสำคัญของการบริหารการลงทุนนั้นอยู่ที่การ "จำกัดความเสี่ยง" (risk limitation) ไม่ใช่ "กำจัดความเสี่ยง" (risk elimination) ถ้าถามว่ากฎที่สำคัญที่สุดที่สรุปได้จากการปฏิบัติ (rule of thumb) ของผู้เขียนหนังสือชุด "อยากรวย ต้องรู้" คืออะไร ก็อยากตอบว่า rule of "ทำ" นั่นคือ "รู้แล้วต้องลงมือทำ" เพราะในภาษาอังกฤษ คำว่า "โชคลาภ" (luck) เป็นตัวย่อของ Laboring Under Correct Knowledge แปลว่า "ลงมือทำ ด้วยความพากเพียร โดยอาศัยความรู้ที่ถูกต้อง" นั่นเอง

ที่มา:   นำชัย เตชะรัตนะวิโรจน์ และคณะ. อยากรวย ต้องรู้ เล่ม 3: รู้จักเครื่องมือ :กรุงเทพฯ: ฝ่ายสื่อสิ่งพิมพ์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย




10 คำถามของคนอยากรวย...... เมื่ออ่านจบแล้ว คุณคิดว่า คุณตอบคำถามตัวเองได้หรือยัง


เมื่อคืนผมออกไปสังสรรค์ กับรุ่นน้องคนนึง มีการพบปะพูดคุยเรื่องต่างๆมากมาย ทั้งมีสาระและไม่มีสาระ แต่ที่เอามาเขียน Post นี้มีสาระนะครับ เผื่อว่ามันจะเป้นประโยชน์ต่อผู้ อ่านนะครับ จากที่ผมได้คุยกับรุ่นน้องคนนี้ มีคำถามนึงที่ผมชอบในคำถามของเขา “พี่ครับ ทำอย่างไร ผมถึงจะรวย” ก่อนอื่นผมขอบอกก่อนนะครับ ว่าตัวผมเองก็ ไม่ได้รวยอะไร แค่มีกินมีใช้ไม่ขัดสน และมีเงินลงทุนบ้างแต่มีจำนวนจำกัดเท่านั้นเอง ตัวผมเองใคร่ควรในคำถาม นับว่าเป็นคำถามที่ดีทีเดียว  ผมก็เลยตอบเขาไปว่า เป็นคำถามที่ดี และถามได้ถูกต้องมาก พี่จะเปรียบเทียมคำถามให้ฟัง
ทำอย่างไร ผมถึงจะรวย :การที่ถามแบบนี้แสดงว่าเราอยากรวยจริงๆโดยต้องเกิดจากการกระทำ นั่นคือทำอย่างไรถึงจะรวย จะต้องทำอะไร เพื่อให้เกิดการมีรายรับมากๆขึ้น อย่างนี้ซิ มีโอกาสรวยแน่นอน
เมื่อไหร่ผมจะรวย:การถามแบบนี้ก็แสดงว่าต้องการจะรวย แต่ไม่ต้องการทำอะไรทั้งสิ้น นั่งรอความรวย ถูกล็อตเตอรี่ หรือถูกรางวัล ช่างเพ้อฝัน  แล้วก็ ฝันไปเถอะว่าจะรวย
ผมก็เลยเปรียบเทียบความคิดให้เขาฟังซื่งผมก็อ่านมาอีกที แต่บังเอิญว่าอ่านก่อนเลยสอนน้องเขาได้ ยังไงลองอ่านดูนะ ครับ




สิบข้อ ความแตกต่าง ระหว่าง คนรวย กับ คนชั้นกลาง
ข้อหนึ่ง
 เศรษฐีนั้นคิดยาวแต่คนชั้นกลางคิดสั้น ว่าที่จริงคนที่คิดสั้นที่สุดก็คือคนจน พวกเขามักจะคิดอะไรแบบวันต่อวันทำนองหาเช้ากินค่ำ คนชั้นกลางนั้นมักจะคิดเป็นเดือนต่อเดือน นั่นคือคิดถึงวันเงินเดือนออก แต่คนรวยจะต้องคิดยาวเป็นปี ๆ หรือเป็นสิบ ๆ ปี ในใจของคนจนนั้น เขามักคิดแต่เฉพาะเรื่องของความอยู่รอดเป็นหลัก ในขณะที่คนชั้นกลางคิดถึงเรื่องความสุขสบายจากการจับจ่ายใช้สอยสินค้า ส่วนคนรวยนั้น เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน เขาต้องการความเป็นอิสระทางการเงิน การคิดยาวนั้นมีพลังมหาศาล เพราะมันจะทำให้เขาอดออมและลงทุนระยะยาวซึ่งจะทำให้เงินงอกเงยแบบทบต้นเป็นเวลานาน และนี่คือสูตรสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้คนมั่งคั่ง
ข้อสอง คนรวยพูดเกี่ยวกับเรื่องไอเดีย คนชั้นกลางพูดเกี่ยวกับสิ่งของ และคนจนพูดถึงเรื่องของคนอื่น นี่คงไม่ได้หมายถึงว่าคนรวยไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งของหรือคนอื่น แต่หมายถึงว่าคนรวยจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นน้อยกว่าคนจนและมักจะเป็นคนที่มีแนวความคิดดี ๆ หรือมีมุมมองต่าง ๆ มากกว่าคนชั้นกลางและคนจน เบื้องหลังของนิสัยในเรื่องนี้คงอยู่ที่ว่า คนรวยนั้นมักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนจนซึ่งมักจะชอบ “ซุบซิบนินทา” เป็นนิจสิน ในขณะที่คนชั้นกลางอาจจะเน้นการทำงานประจำ ชอบพูดถึงเรื่องรถยนต์ ดนตรี การพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น
ข้อสาม คนรวยยอมรับการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางต่อต้านการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงจะคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ที่ตนเองเคยชิน ในขณะที่คนรวยนั้นคิดว่าการเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่า เขาคิดว่าในการเปลี่ยนแปลงนั้นมักมีโอกาสที่เขาอาจจะฉกฉวยได้ เบื้องหลังนิสัยนี้อาจจะมาจากการที่คนรวยมีความมั่นใจสูงกว่าคนชั้นกลางที่มักจะกลัวว่าตนเองจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ ๆ ได้
ข้อสี่ คนรวยกล้ารับความเสี่ยงที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว คนชั้นกลางกลัวที่จะรับความเสี่ยง นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของคนชั้นกลางในความเห็นของผม คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้นจะพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยสิ้นเชิง ในขณะที่คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่างที่ได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดีจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยที่ความเสี่ยงจริง ๆ นั้นจะมีน้อยมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินที่มีความผันผวนของราคาโดยที่เขาไม่พยายามศึกษาว่าในระยะยาวแล้วมันอาจจะมีความคุ้มค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมาก ในอีกมุมหนึ่ง คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่าง “บ้าบิ่น” เช่นคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันเองก็ไม่ใช่นิสัยของคนรวย คนรวยนั้นจะต้องรับความเสี่ยงเฉพาะที่มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว
ข้อห้า คนรวยเรียนรู้และเติบโตตลอดชีวิต คนชั้นกลางคิดว่าการเรียนรู้จบที่โรงเรียน นิสัยการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ นี้ ผมคิดว่าเป็นหัวใจเศรษฐีจริง ๆเพราะในความรู้สึกของผมเอง การเรียนรู้จากโรงเรียนเป็นเพียงพื้นฐานที่เรานำมาศึกษาต่อด้วยตนเองได้ และเวลาหลังจากการเรียนในโรงเรียนนั้นยาวมากเป็นหลายสิบปี ดังนั้น ความรู้ส่วนใหญ่จึงควรที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนจบจากโรงเรียน โดยนัยของข้อนี้ คนรวยจึงน่าจะมีนิสัยรักการอ่านหรือการหาความรู้ต่อไปเรื่อย ๆ ในขณะที่คนชั้นกลางนั้น พอเรียนจบก็มักจะไม่สนใจอ่านหนังสือหรือหาความรู้ใหม่ ๆ และความรู้ที่ผมคิดว่าคนชั้นกลางพลาดไปเพราะไม่มีการสอนในโรงเรียนก็คือ ความรู้ทางด้านการเงินที่คนรวยมักจะศึกษาต่อเพราะเห็นถึงความสำคัญและอาจนำไปสู่ความร่ำรวยได้
ข้อหก คนรวยทำงานเพื่อหากำไร คนชั้นกลางทำงานเพื่อจะได้ค่าจ้าง คนรวยมองว่านี่คือหนทางที่จะทำให้รวยได้มากกว่าแม้ว่าจะมีความเสี่ยง ในขณะที่คนชั้นกลางนั้นมักจะไม่กล้าเสี่ยงและอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่า จึงมุ่งไปที่การหางานที่จะมีรายได้แน่นอน แต่รายได้จากการใช้แรงงานของตนเองนั้น มีน้อยคนที่จะทำให้ตนเองรวยได้
ข้อเจ็ด คนรวยเชื่อว่าพวกเขาจะต้องใจบุญสุนทาน คนชั้นกลางคิดว่าพวกเขาไม่มีปัญญาที่จะทำบุญ ข้อนี้ผมเองคงไม่มีคอมเม้นท์อะไร ส่วนหนึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละคนที่ไม่ค่อยบอกหรือรู้กันยกเว้นกรณีที่เป็นการบริจาคใหญ่ ๆ อย่างกรณีของบัฟเฟตต์หรือบิลเกต
ข้อแปด คนรวยมีแหล่งรายได้หลากหลาย คนชั้นกลางมีเพียงหนึ่งหรือสองแหล่ง ข้อนี้ก็เช่นกัน ผมเองไม่แน่ใจว่าคนรวยมีรายได้จากหลายแหล่งเพราะรวยแล้วจึงไปลงทุนในทรัพย์สินหลาย ๆ อย่าง หรือมีทรัพย์สินหลายอย่างจึงทำให้รวย แต่ที่ผมเห็นชัดเจนก็คือ คนชั้นกลางนั้น มักไม่ลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงทำให้รายได้มักจะมาจากเงินเดือนเป็นหลัก
ข้อเก้า คนรวยเน้นการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งของตนเอง คนชั้นกลางเน้นการเพิ่มของเงินเดือน เป้าหมายของคนรวยนั้นอยู่ที่ว่าตนเองมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนโดยมองที่ภาพรวม ดังนั้น ถ้าเขามีหุ้นอยู่ การที่หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเขาก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นโดยที่เขาไม่ต้องเสียภาษี แต่คนชั้นกลางพยายามทำงานเพื่อให้มีเงินเดือนสูงขึ้นแต่เขาอาจจะลืมไปว่าเขาจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นด้วย สรุปก็คือ คนรวยเน้นการลงทุนใช้เงินทำงานแทนตนเอง คนชั้นกลางเน้นการใช้แรงงานของตนเอง
และสุดท้าย ข้อสิบ คนรวยชอบตั้งคำถามที่เป็นบวกและสร้างกำลังใจ เช่น ฉันจะสร้างรายได้เป็นเท่าตัวในปีนี้ได้อย่างไร? ในขณะที่คนชั้นกลางชอบตั้งคำถามที่เป็นลบและเสียกำลังใจเช่น จะหาเงินมาจ่ายหนี้ค่าบัตรเครดิตเดือนนี้ได้อย่างไร ?

เครดิต: forextrader.igetweb.com/index.php?mo=3&art=432444

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ปลุกยักษ์ ปลุกพลังในตัวคุณ part 2


ปลุกยักษ์ ปลุกพลังในตัวคุณ part 2

วินาทีที่คุณตัดสินใจจะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในตัวเอง เส้นทางชีวิตของคุณก็เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว" ปฏิบัติการปลุกยักษ์ ตอนที่ 1"ปลุกพลังในตัวคุณ"


ปลุกยักษ์ ปลุกพลังในตัวคุณ 1

ปลุกยักษ์ ปลุกพลังในตัวคุณ part 1



THE POWER WITHIN YOU
.ใช้พลังที่ยิ่งใหญ่ในตัวคุณ …. เพื่อความสำเร็จที่คุณปราถนา…..การร่วมสัมนาครั้งนี้….ค้มค่าที่สุด


คุณรู้ไหมว่า คุณมียักษ์อยู่ในตัว
คนส่วนใหญ่ไม่รู้ และปล่อยให้ยักษ์ในตัวหลับอยู่อย่างนั้น แต่ในวันนี้เราโชคดี ที่มีผู้หญิงตัวเล็กๆแต่มีพลังมากมายมาช่วย ปลุกยักษ์ในตัวเราให้ตื่นเพื่อ ให้เรามาสามารถแสดงศักยภาพ ของเราที่มีอยู่ให้ปรากฎออกมา โค้ชสิริลักษณ์ ตันศิริ นักโมทิเวท(กระตุ้นศักยภาพ) หญิงคนแรกของเมืองไทยเธอกำลังโด่งดังมากในขณะนี้ จากที่เคยทำงานบัญชี บุคคลิก แบบ ซุปเปอร์ซิ้ม มาเป็น ซุปเปอร์วูแมน ไม่น่าเชื่อ คนที่เคยเก็บตัว ไม่เข้าสังคม ไม่แต่งหน้า ไม่แต่งตัว กลับกลายมาเป็น สาวทันสมัย ที่มีพลัง มากล้น ในการปลุกพลังสร้างกำลังใจให้กับผูคนทั่วประเทศมานับแสนๆคน นี่แหละไม่ธรรมดาของยักษ์ในตัวโค้ชสิริลักษณ์ ตันศิริ
จะให้แนวทาง และการฝึก ให้ยักษ์ในตัวเราตื่น เป็นอย่างดี
วันนี้ถือว่าโชคดีค่ะที่ทางบริษัท จัดให้มีการอบรม ได้ข้อคิด คติ … หลายๆอย่าง … YES… แหละที่คือคาถาของสูตรสำเร็จในครั้งนี้…
5 เทคนิค “ปลุกยักษ์” ในตัวคุณ
1. ส่องกระจกดูตัวเอง
ก่อนที่เราจะปลุกยักษ์ที่หลับใหลให้ตื่นขึ้นมาได้ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ การสำรวจตัวเอง จำไว้ว่าการจะเปลี่ยนแปลงสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้นั้น ไม่ได้เกิดจากสิ่งแวดล้อมหรือคนรอบข้าง แต่การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากตัวเราเองเป็นสำคัญ เริ่มจากการสำรวจดูตัวเองเสียใหม่ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นคนอย่างไร มีข้อดี ข้อเสียอะไรบ้าง
เมื่อรู้จักตัวเองมากขึ้นแล้ว ก็ให้ถามใจตัวเองดูว่า เราต้องการเป็นอย่างไร แล้วลุกขึ้นมาบอกกับตัวเองดังๆ ว่า “ฉันจะ เป็นคนใหม่ต่อไปนี้จะไม่เป็นอย่างเดิมอีกแล้ว”
เคล็ดลับ : ยอมรับความ จริง
ในขั้นตอนการสำรวจตัวเองนั้น เราต้องยืดอก ลุกขึ้นมายอมรับความจริงว่า เรามีข้อเสียอะไรที่ต้องแก้ไขบ้าง เช่น เราเป็นคนอ่อนแอ ขี้กลัว จับจด ไม่มุ่งมั่น ในชีวิตไม่เคยทำอะไรสำเร็จ บางคนสำรวจตัวเองก็จริง แต่หากไม่ยอมรับว่าตนเองมีข้อด้อยที่ต้องแก้ไข ก็จะไม่สามารถเปลี่ยนข้อด้อยเหล่านั้นให้กลายมาเป็นข้อดีได้เลย
2. บริหารกายผ่อนคลายใจ
เมื่อพบข้อดีข้อด้อยข้อตัวเองแล้ว ก่อนที่เราจะเริ่มกระบวนการดึงศักยภาพขึ้นมาใช้ เราต้องเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อมเสียก่อน เพราะอย่าลืมว่า ร่างกาย และจิตใจย่อมส่งผลถึงกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้าวันไหนร่างกายอ่อนแอ จิตใจก็จะป่วยตามไปด้วย หรือหากวันไหนจิตใจเครียด หงุดหงิด หัวสมองก็มักจะพลอยคิดอะไรไม่ออกเอาเสียดื้อๆ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดจะควบคุมจิตใจและร่างกายให้อยู่ในสภาพที่พร้อมเสมอก็ คือ การออกกำลังกายควบคู่ไปกับการหมั่นฝึกหายใจเข้า-ออกอย่างมีสตินั่นเอง
เคล็ดลับ : เทคนิคเพิ่มพลังยามเช้า
ทันที่ที่ตื่นนอน ให้ใช้นิ้วโป้งแตะนิ้วชี้พร้อมออกแรงกด แล้วหายใจเข้าทางจมูกลึกๆ นัก 1-4 จากนั้นหายใจออกทางปาก ทำทั้งหมด 4 ครั้งแล้วสลับนิ้วโป้งแตะนิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อยตามลำดับ ทำแบบนี้ทุกเช้า วันละประมาณ 5 นาที การกดหรือบีบปลายนิ้วจะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทให้ตื่นตัว พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ ส่วนการหายใจเข้า-ออกลึกๆ จะช่วยให้ร่างกายนำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ได้ดีขึ้น
3. โปรแกรมตัวเองเสียใหม่
ใครที่เคยเฝ้าบอกตัวเองว่า “ฉันทำไม่ได้” ให้หยุดความคิดเหล่านั้นแล้วใส่โปรแกรมลงไปเสียใหม่ว่า “ฉันทำได้” “ฉันเชื่อมั่น” “ฉันเป็นคนขยัน” โดยอาจจะพูดในใจหรือพูดออกมาดังๆ หน้ากระจกก็ได้ การพูดแต่สิ่งดีๆ นอกจากจะเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่งแล้ว การที่เราคิด พูดหรือทำอะไรบ่อยๆ ยังช่วยโปรแกรมสมองและจิตใต้สำนึกให้เป็นไปอย่างที่ใจเราคิดโดยอัตโนมัติอีก ด้วย
เคล็ดลับ : สิ่งที่ใส่เข้าไป = สิ่งที่ออกมา
“สิ่งที่ใส่เข้าไป = สิ่งที่ออกมา” คือหลักการทำงานง่ายๆ ของสมองและจิตใต้สำนึก ดังนั้นถ้าคุณต้องการผลลัพธ์ในแบบใด ก็ให้ใส่สิ่งนั้นเข้าไป เช่น หากคุณอยากจะเป็นคนเก่ง ก็ให้พูดกับตัวเองบ่อยๆ ว่า “ฉันเป็นคนเก่ง” แทนที่จะพูดว่า “ฉันอยากจะเป็นคนเก่ง” เพราะการพูดว่า “ฉันอยาก..” จะทำให้จิตใต้สำนึกคิดว่าเรายังไม่มีสิ่งนั้น
4. อย่ารีรอที่จะลงมือทำ
หลังจากที่เราโปรแกรมตัวเองให้มีจิตใจแข็งแกร่งแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่สำคัญมากและขาดไม่ได้เลยก็คือ อย่ากลัวที่จะลงมือทำ เพราะหากเราไม่กล้าลงมือทำ เราก็คงไม่รู้หรอกว่าเรามีความศักยภาพมากแค่ไหน และหากเราเจอปัญหาแล้วหนี เราก็จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่า แท้จริงแล้ว ทุกปัญหามีทางออกเสมอ ดังนั้นใครที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จะปลุกยักษ์ในตัวเองให้ตื่นขึ้น จึงต้องรีบสลัดความกลัวทิ้งไป และลุกขึ้นมานับ 1…2…3.. แล้วลุยทันทีกับทุกเรื่อง
เคล็ดลับ : “กล้า” ที่จะตื่นเช้า
อีกเทคนิคที่จะฝึกความกล้าได้เป็นอย่างดีก็คือ การตั้งนาฬิกาปลุกตอนหกโมงเช้า และเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกก็ให้ลุกขึ้นจากที่นอนทันที และห้ามบิดขี้เกียจอีกต่อไป วิธีนี้ฟังเผินๆ อาจจะดูง่าย แต่เชื่อไหมว่า การลุกจากเตียงขณะที่คุณกำลังนอนฝันอยู่ใต้ผ้าห่มอันอบอุ่นนั้นเป็นสิ่งที่ ยากที่สุดแล้ว ดังนั้นหากคุณสามารถเอาชนะใจของตัวเองได้ทุกๆ เช้า งานใหญ่ก็จะกลายเป็นเรื่องกล้วยๆ ไปอย่างไม่ต้องสงสัย
5. ให้รางวัลกับความสำเร็จ
เทคนิคที่จะขาดไม่ได้ในการกระตุ้นศักยภาพของตนเองก็คือ การฉลองความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่น ทำงานเสร็จ คิดไอเดียใหม่ออก หรือแม้กระทั่งขายสินค้าได้ 1 ชิ้น ทุกครั้งที่เราทำอะไรสำเร็จ ให้เราให้รางวัลแก่ตนเองด้วยการกำหนดแน่นๆ แล้วออกเสียง “ YES! ” ดังๆ (หรือใครจะแอบกรี๊ดเบาๆ ก็ไม่ว่ากัน) พร้อมย้ำกับตัวเองอีกครั้งว่า “ฉันทำได้”
การให้กำลังใจตนเองเช่นนี้บ่อยๆ คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยปลุกยักษ์ที่เคยหลับใหลอยู่ในจิตใต้สำนึกของคุณมานาน แสนนานให้ตื่นขึ้นมา
เมื่อยักษ์ในตัวคุณตื่นขึ้นแล้ว คุณจะรู้ทันทีเลยว่า การใช้ชีวิตด้วยศักยภาพที่เต็มเปี่ยมนั้นมหัศจรรย์เพียงใด

คิดเป็น…รวยก่อน จบ ป.4 ก็เป็นเศรษฐีได้


คิดเป็น…รวยก่อน จบ ป.4 ก็เป็นเศรษฐีได้

คิดเป็น รวยก่อน โดย พระพยอม

คนจำนวนมากเข้าใจว่า คนจะรวยได้ต้องเรียนสูงๆ หรือต้องจบต่างประเทศ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด ความจริงจบ ป.4 ก็เป็นเศรษฐีได้
ถ้าคิดเป็น…
คน ที่เรียนสูง คนที่จบจากต่างประเทศหรือแม้แต่ดอกเตอร์จำนวนมาก ปัจจุบันเป็นลูกจ้างอยู่ในบริษัทที่มีเจ้าของบริษัทไม่จบ ป.4 ก็มีไม่น้อย
ความรวย…
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวุฒิการศึกษา แต่มันขึ้นอยู่กับสมอง ความฉลาด ขึ้นอยู่กับความคิด
ถ้าคิดเป็น จบ ป.4 ก็รวยได้
เขาบอกว่า “ถ้าอยากรวย…ต้องคิดให้เป็น”
ผู้คนก็พากันสงัสยว่า แล้วไอ้คิดเป็นเนี่ย มันคิดกันอย่างไร คนที่ร่ำรวยปัจจุบัน เขาคิดอย่างไรถึงรวย
น่าสนใจมั้ย…โยม….?
ถ้า สนใจเดินตามอาตมาไป อาตมาจะพาไปดู 108 วิธีที่จะนำท่านไปสู่ความร่ำรวย จะพาไปดูวิธีการคิดที่สร้างความร่ำรวยได้ในพริบตา แล้วทุกคนจะตกตะลึงว่า ไอ้ความรวยเนี่ย มันเกิดจากความคิดง่ายๆ วิธีการง่ายๆ ใครๆก็ทำได้
ไม่จำเป็นต้องรู้เยอะ
ไม่จำเป็นต้องเรียนสูง
ไม่จำเป็นต้องจบดอกเตอร์ต่างประเทศ
แค่จบ ป.4 ก็รวยได้แล้ว
จบ ป.4 ก็เป็นเศรษฐีระดับแนวหน้าได้ ทันทีที่อ่านหนังสือเล่มนี้จบ (อ่านเว็บของผมจบ) ทุกคนจะร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า “เราน่าจะรวยมาตั้งนานแล้ว”
เรื่องง่ายๆแค่นี้ ทำไมเราคิดไม่เป็น อยากจะรวยหรือยัง เริ่มเลยดีมั้ย โยม
เปลี่ยนวิกฤต…ให้เป็นโอกาส…
หัวใจ เศรษฐีข้อแรกคือ ต้องเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส คนที่จะรวยจะต้องคิดเสมอว่า วิกฤตของคนทั่วไป มันอาจจะคือโอกาสของเราก็ได้ เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เจอวิกฤต เราต้องมานั่งคิดว่า ในวิกฤตินั้น มีโอกาสอะไรให้เราบ้าง ถ้าคุณหาเจอความรวยก็จะวิ่งมาหาคุณ เพราะโดยปรกติ คนเราส่วนใหญ่พอเจอวิกฤติในชีวิตเข้าก็นั่งกลุ้ม ไอ้เราพอไปเห็นเข้าก็เลยพลอยกลุ้มกับมันไปด้วย
เหมือนกับว่าเรื่องนั้นมันกำลังเกิดขึ้นกับเราเช่นกัน
เพราะอะไรหละ…โยม
เพราะอะไร…เราจึงกลุ้ม…
เพราะเราคิดเหมือนเขา พอเขากลุ้มเราก็เลยกลุ้มไปด้วย
คน จะรวยต้องคิดเป็น คนที่คิดเป็น จะต้องคิดให้แตกต่างจากคนอื่น อาตมาจะลองฉายภาพให้เห็นกันชัดๆ สักภาพหนึ่ง แล้วโยมจะบอกว่า การเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส ไม่ใช่เรื่องยาก
คิดต่างกัน…จึงรวยต่างกัน…
เมื่อ ตอนเกิดสงครามโลก ทุกคนตกอกตกใจ ร้องห่มร้องไห้ วิตกกังวล หวาดกลัว ขนลูกขนเต้า แก้วแหวนเงินทอง ทรัพย์สมบัติมีค่าหนีภัยสงครามกันหัวซุกหัวซุน
คนไทยทั้งประเทศนั่งคอตกกลุ้มกับสงคราม
ทุกคนมองว่าสงครามเป็นวิกฤติ
มี คนจีนกลุ่มหนึ่ง ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในปะรเทศไทย คนกลุ่มนี้คิดไม่เหมือนคนไทย พอเกิดสงครามปุ๊ป เขามานั่งสุมหัวกันเลย ช่วยกันคิด เขาคิดว่าเขาจะหาโอกาสจากสงครามได้อย่างไร
พอสงครามจบปุ๊ป
คน ไทยเจอพิษสงคราม สิ้นเนื้อประดาตัวไปตามๆกัน แต่คนจีน…รวย…เป็นมหาเศรษฐีกันถ้วนหน้า เพราะในขณะที่คนไทยหนีสงครามกันหัวซุกหัวซน คนจีนขนเอาสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพเข้ามาขาย คนไทยก็แห่กันซื้อ และต้องซื้อราคาแพงกว่าปรกติหลายเท่าตัว
คนจีนกลุ่มที่ว่านี้ ปัจจุบันเป็นเจ้าของกิจการที่ร่ำรวยและใหญ่โตที่สุดในประเทศไทยหลายบริษัท หลายคนตายไปแล้ว ทิ้งอภิมหาทรัพย์สมบัติมรดกความร่ำรวยเอาไว้ให้ ชนิดที่ใช้กัน 7 ชั่วโครตก็ยังไม่หมด
เห็นภาพไหม โยม???
ทุกคนอยู่ในสงครามเดียวกัน
คนไทยมองว่าสงครามเป็นวิกฤติ
แต่คนจีนมองว่าสงครามคือโอกาส
แค่คิดต่างกันนิดเดียว รวยต่างกันมหาศาลเลย
เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ต้องคิดอยู่เสมอว่า วิกฤตของคนอื่น…อาจจะเป็นโอกาสของเราก็ได้…
อย่าคิดเหมือนใคร ต้องคิดให้แตกต่าง ต้องคิดให้เป็น เพราะคนคิดเป็น…จะรวยก่อนเสมอ

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Free Samples By Mail