วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
ปลุกยักษ์ ปลุกพลังในตัวคุณ part 2
20:31
TavornElectriGroup
No comments
ปลุกยักษ์ ปลุกพลังในตัวคุณ part 2
วินาทีที่คุณตัดสินใจจะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในตัวเอง เส้นทางชีวิตของคุณก็เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว" ปฏิบัติการปลุกยักษ์ ตอนที่ 1"ปลุกพลังในตัวคุณ"
Posted in: ปลุกยักษ์ในตัวคุณ
ปลุกยักษ์ ปลุกพลังในตัวคุณ 1
20:28
TavornElectriGroup
No comments
ปลุกยักษ์ ปลุกพลังในตัวคุณ part 1
THE POWER WITHIN YOU
.ใช้พลังที่ยิ่งใหญ่ในตัวคุณ …. เพื่อความสำเร็จที่คุณปราถนา…..การร่วมสัมนาครั้งนี้….ค้มค่าที่สุด
คุณรู้ไหมว่า คุณมียักษ์อยู่ในตัว
คนส่วนใหญ่ไม่รู้ และปล่อยให้ยักษ์ในตัวหลับอยู่อย่างนั้น แต่ในวันนี้เราโชคดี ที่มีผู้หญิงตัวเล็กๆแต่มีพลังมากมายมาช่วย ปลุกยักษ์ในตัวเราให้ตื่นเพื่อ ให้เรามาสามารถแสดงศักยภาพ ของเราที่มีอยู่ให้ปรากฎออกมา โค้ชสิริลักษณ์ ตันศิริ นักโมทิเวท(กระตุ้นศักยภาพ) หญิงคนแรกของเมืองไทยเธอกำลังโด่งดังมากในขณะนี้ จากที่เคยทำงานบัญชี บุคคลิก แบบ ซุปเปอร์ซิ้ม มาเป็น ซุปเปอร์วูแมน ไม่น่าเชื่อ คนที่เคยเก็บตัว ไม่เข้าสังคม ไม่แต่งหน้า ไม่แต่งตัว กลับกลายมาเป็น สาวทันสมัย ที่มีพลัง มากล้น ในการปลุกพลังสร้างกำลังใจให้กับผูคนทั่วประเทศมานับแสนๆคน นี่แหละไม่ธรรมดาของยักษ์ในตัวโค้ชสิริลักษณ์ ตันศิริ
จะให้แนวทาง และการฝึก ให้ยักษ์ในตัวเราตื่น เป็นอย่างดี
วันนี้ถือว่าโชคดีค่ะที่ทางบริษัท จัดให้มีการอบรม ได้ข้อคิด คติ … หลายๆอย่าง … YES… แหละที่คือคาถาของสูตรสำเร็จในครั้งนี้…
5 เทคนิค “ปลุกยักษ์” ในตัวคุณ
1. ส่องกระจกดูตัวเอง
ก่อนที่เราจะปลุกยักษ์ที่หลับใหลให้ตื่นขึ้นมาได้ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ การสำรวจตัวเอง จำไว้ว่าการจะเปลี่ยนแปลงสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้นั้น ไม่ได้เกิดจากสิ่งแวดล้อมหรือคนรอบข้าง แต่การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากตัวเราเองเป็นสำคัญ เริ่มจากการสำรวจดูตัวเองเสียใหม่ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นคนอย่างไร มีข้อดี ข้อเสียอะไรบ้าง
เมื่อรู้จักตัวเองมากขึ้นแล้ว ก็ให้ถามใจตัวเองดูว่า เราต้องการเป็นอย่างไร แล้วลุกขึ้นมาบอกกับตัวเองดังๆ ว่า “ฉันจะ เป็นคนใหม่ต่อไปนี้จะไม่เป็นอย่างเดิมอีกแล้ว”
เคล็ดลับ : ยอมรับความ จริง
ในขั้นตอนการสำรวจตัวเองนั้น เราต้องยืดอก ลุกขึ้นมายอมรับความจริงว่า เรามีข้อเสียอะไรที่ต้องแก้ไขบ้าง เช่น เราเป็นคนอ่อนแอ ขี้กลัว จับจด ไม่มุ่งมั่น ในชีวิตไม่เคยทำอะไรสำเร็จ บางคนสำรวจตัวเองก็จริง แต่หากไม่ยอมรับว่าตนเองมีข้อด้อยที่ต้องแก้ไข ก็จะไม่สามารถเปลี่ยนข้อด้อยเหล่านั้นให้กลายมาเป็นข้อดีได้เลย
2. บริหารกายผ่อนคลายใจ
เมื่อพบข้อดีข้อด้อยข้อตัวเองแล้ว ก่อนที่เราจะเริ่มกระบวนการดึงศักยภาพขึ้นมาใช้ เราต้องเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อมเสียก่อน เพราะอย่าลืมว่า ร่างกาย และจิตใจย่อมส่งผลถึงกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้าวันไหนร่างกายอ่อนแอ จิตใจก็จะป่วยตามไปด้วย หรือหากวันไหนจิตใจเครียด หงุดหงิด หัวสมองก็มักจะพลอยคิดอะไรไม่ออกเอาเสียดื้อๆ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดจะควบคุมจิตใจและร่างกายให้อยู่ในสภาพที่พร้อมเสมอก็ คือ การออกกำลังกายควบคู่ไปกับการหมั่นฝึกหายใจเข้า-ออกอย่างมีสตินั่นเอง
เคล็ดลับ : เทคนิคเพิ่มพลังยามเช้า
ทันที่ที่ตื่นนอน ให้ใช้นิ้วโป้งแตะนิ้วชี้พร้อมออกแรงกด แล้วหายใจเข้าทางจมูกลึกๆ นัก 1-4 จากนั้นหายใจออกทางปาก ทำทั้งหมด 4 ครั้งแล้วสลับนิ้วโป้งแตะนิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อยตามลำดับ ทำแบบนี้ทุกเช้า วันละประมาณ 5 นาที การกดหรือบีบปลายนิ้วจะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทให้ตื่นตัว พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ ส่วนการหายใจเข้า-ออกลึกๆ จะช่วยให้ร่างกายนำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ได้ดีขึ้น
3. โปรแกรมตัวเองเสียใหม่
ใครที่เคยเฝ้าบอกตัวเองว่า “ฉันทำไม่ได้” ให้หยุดความคิดเหล่านั้นแล้วใส่โปรแกรมลงไปเสียใหม่ว่า “ฉันทำได้” “ฉันเชื่อมั่น” “ฉันเป็นคนขยัน” โดยอาจจะพูดในใจหรือพูดออกมาดังๆ หน้ากระจกก็ได้ การพูดแต่สิ่งดีๆ นอกจากจะเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่งแล้ว การที่เราคิด พูดหรือทำอะไรบ่อยๆ ยังช่วยโปรแกรมสมองและจิตใต้สำนึกให้เป็นไปอย่างที่ใจเราคิดโดยอัตโนมัติอีก ด้วย
เคล็ดลับ : สิ่งที่ใส่เข้าไป = สิ่งที่ออกมา
“สิ่งที่ใส่เข้าไป = สิ่งที่ออกมา” คือหลักการทำงานง่ายๆ ของสมองและจิตใต้สำนึก ดังนั้นถ้าคุณต้องการผลลัพธ์ในแบบใด ก็ให้ใส่สิ่งนั้นเข้าไป เช่น หากคุณอยากจะเป็นคนเก่ง ก็ให้พูดกับตัวเองบ่อยๆ ว่า “ฉันเป็นคนเก่ง” แทนที่จะพูดว่า “ฉันอยากจะเป็นคนเก่ง” เพราะการพูดว่า “ฉันอยาก..” จะทำให้จิตใต้สำนึกคิดว่าเรายังไม่มีสิ่งนั้น
4. อย่ารีรอที่จะลงมือทำ
หลังจากที่เราโปรแกรมตัวเองให้มีจิตใจแข็งแกร่งแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่สำคัญมากและขาดไม่ได้เลยก็คือ อย่ากลัวที่จะลงมือทำ เพราะหากเราไม่กล้าลงมือทำ เราก็คงไม่รู้หรอกว่าเรามีความศักยภาพมากแค่ไหน และหากเราเจอปัญหาแล้วหนี เราก็จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่า แท้จริงแล้ว ทุกปัญหามีทางออกเสมอ ดังนั้นใครที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จะปลุกยักษ์ในตัวเองให้ตื่นขึ้น จึงต้องรีบสลัดความกลัวทิ้งไป และลุกขึ้นมานับ 1…2…3.. แล้วลุยทันทีกับทุกเรื่อง
เคล็ดลับ : “กล้า” ที่จะตื่นเช้า
อีกเทคนิคที่จะฝึกความกล้าได้เป็นอย่างดีก็คือ การตั้งนาฬิกาปลุกตอนหกโมงเช้า และเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกก็ให้ลุกขึ้นจากที่นอนทันที และห้ามบิดขี้เกียจอีกต่อไป วิธีนี้ฟังเผินๆ อาจจะดูง่าย แต่เชื่อไหมว่า การลุกจากเตียงขณะที่คุณกำลังนอนฝันอยู่ใต้ผ้าห่มอันอบอุ่นนั้นเป็นสิ่งที่ ยากที่สุดแล้ว ดังนั้นหากคุณสามารถเอาชนะใจของตัวเองได้ทุกๆ เช้า งานใหญ่ก็จะกลายเป็นเรื่องกล้วยๆ ไปอย่างไม่ต้องสงสัย
5. ให้รางวัลกับความสำเร็จ
เทคนิคที่จะขาดไม่ได้ในการกระตุ้นศักยภาพของตนเองก็คือ การฉลองความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่น ทำงานเสร็จ คิดไอเดียใหม่ออก หรือแม้กระทั่งขายสินค้าได้ 1 ชิ้น ทุกครั้งที่เราทำอะไรสำเร็จ ให้เราให้รางวัลแก่ตนเองด้วยการกำหนดแน่นๆ แล้วออกเสียง “ YES! ” ดังๆ (หรือใครจะแอบกรี๊ดเบาๆ ก็ไม่ว่ากัน) พร้อมย้ำกับตัวเองอีกครั้งว่า “ฉันทำได้”
การให้กำลังใจตนเองเช่นนี้บ่อยๆ คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยปลุกยักษ์ที่เคยหลับใหลอยู่ในจิตใต้สำนึกของคุณมานาน แสนนานให้ตื่นขึ้นมา
เมื่อยักษ์ในตัวคุณตื่นขึ้นแล้ว คุณจะรู้ทันทีเลยว่า การใช้ชีวิตด้วยศักยภาพที่เต็มเปี่ยมนั้นมหัศจรรย์เพียงใด
THE POWER WITHIN YOU
.ใช้พลังที่ยิ่งใหญ่ในตัวคุณ …. เพื่อความสำเร็จที่คุณปราถนา…..การร่วมสัมนาครั้งนี้….ค้มค่าที่สุด
คุณรู้ไหมว่า คุณมียักษ์อยู่ในตัว
คนส่วนใหญ่ไม่รู้ และปล่อยให้ยักษ์ในตัวหลับอยู่อย่างนั้น แต่ในวันนี้เราโชคดี ที่มีผู้หญิงตัวเล็กๆแต่มีพลังมากมายมาช่วย ปลุกยักษ์ในตัวเราให้ตื่นเพื่อ ให้เรามาสามารถแสดงศักยภาพ ของเราที่มีอยู่ให้ปรากฎออกมา โค้ชสิริลักษณ์ ตันศิริ นักโมทิเวท(กระตุ้นศักยภาพ) หญิงคนแรกของเมืองไทยเธอกำลังโด่งดังมากในขณะนี้ จากที่เคยทำงานบัญชี บุคคลิก แบบ ซุปเปอร์ซิ้ม มาเป็น ซุปเปอร์วูแมน ไม่น่าเชื่อ คนที่เคยเก็บตัว ไม่เข้าสังคม ไม่แต่งหน้า ไม่แต่งตัว กลับกลายมาเป็น สาวทันสมัย ที่มีพลัง มากล้น ในการปลุกพลังสร้างกำลังใจให้กับผูคนทั่วประเทศมานับแสนๆคน นี่แหละไม่ธรรมดาของยักษ์ในตัวโค้ชสิริลักษณ์ ตันศิริ
จะให้แนวทาง และการฝึก ให้ยักษ์ในตัวเราตื่น เป็นอย่างดี
วันนี้ถือว่าโชคดีค่ะที่ทางบริษัท จัดให้มีการอบรม ได้ข้อคิด คติ … หลายๆอย่าง … YES… แหละที่คือคาถาของสูตรสำเร็จในครั้งนี้…
5 เทคนิค “ปลุกยักษ์” ในตัวคุณ
1. ส่องกระจกดูตัวเอง
ก่อนที่เราจะปลุกยักษ์ที่หลับใหลให้ตื่นขึ้นมาได้ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ การสำรวจตัวเอง จำไว้ว่าการจะเปลี่ยนแปลงสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้นั้น ไม่ได้เกิดจากสิ่งแวดล้อมหรือคนรอบข้าง แต่การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากตัวเราเองเป็นสำคัญ เริ่มจากการสำรวจดูตัวเองเสียใหม่ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นคนอย่างไร มีข้อดี ข้อเสียอะไรบ้าง
เมื่อรู้จักตัวเองมากขึ้นแล้ว ก็ให้ถามใจตัวเองดูว่า เราต้องการเป็นอย่างไร แล้วลุกขึ้นมาบอกกับตัวเองดังๆ ว่า “ฉันจะ เป็นคนใหม่ต่อไปนี้จะไม่เป็นอย่างเดิมอีกแล้ว”
เคล็ดลับ : ยอมรับความ จริง
ในขั้นตอนการสำรวจตัวเองนั้น เราต้องยืดอก ลุกขึ้นมายอมรับความจริงว่า เรามีข้อเสียอะไรที่ต้องแก้ไขบ้าง เช่น เราเป็นคนอ่อนแอ ขี้กลัว จับจด ไม่มุ่งมั่น ในชีวิตไม่เคยทำอะไรสำเร็จ บางคนสำรวจตัวเองก็จริง แต่หากไม่ยอมรับว่าตนเองมีข้อด้อยที่ต้องแก้ไข ก็จะไม่สามารถเปลี่ยนข้อด้อยเหล่านั้นให้กลายมาเป็นข้อดีได้เลย
2. บริหารกายผ่อนคลายใจ
เมื่อพบข้อดีข้อด้อยข้อตัวเองแล้ว ก่อนที่เราจะเริ่มกระบวนการดึงศักยภาพขึ้นมาใช้ เราต้องเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อมเสียก่อน เพราะอย่าลืมว่า ร่างกาย และจิตใจย่อมส่งผลถึงกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้าวันไหนร่างกายอ่อนแอ จิตใจก็จะป่วยตามไปด้วย หรือหากวันไหนจิตใจเครียด หงุดหงิด หัวสมองก็มักจะพลอยคิดอะไรไม่ออกเอาเสียดื้อๆ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดจะควบคุมจิตใจและร่างกายให้อยู่ในสภาพที่พร้อมเสมอก็ คือ การออกกำลังกายควบคู่ไปกับการหมั่นฝึกหายใจเข้า-ออกอย่างมีสตินั่นเอง
เคล็ดลับ : เทคนิคเพิ่มพลังยามเช้า
ทันที่ที่ตื่นนอน ให้ใช้นิ้วโป้งแตะนิ้วชี้พร้อมออกแรงกด แล้วหายใจเข้าทางจมูกลึกๆ นัก 1-4 จากนั้นหายใจออกทางปาก ทำทั้งหมด 4 ครั้งแล้วสลับนิ้วโป้งแตะนิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อยตามลำดับ ทำแบบนี้ทุกเช้า วันละประมาณ 5 นาที การกดหรือบีบปลายนิ้วจะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทให้ตื่นตัว พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ ส่วนการหายใจเข้า-ออกลึกๆ จะช่วยให้ร่างกายนำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ได้ดีขึ้น
3. โปรแกรมตัวเองเสียใหม่
ใครที่เคยเฝ้าบอกตัวเองว่า “ฉันทำไม่ได้” ให้หยุดความคิดเหล่านั้นแล้วใส่โปรแกรมลงไปเสียใหม่ว่า “ฉันทำได้” “ฉันเชื่อมั่น” “ฉันเป็นคนขยัน” โดยอาจจะพูดในใจหรือพูดออกมาดังๆ หน้ากระจกก็ได้ การพูดแต่สิ่งดีๆ นอกจากจะเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่งแล้ว การที่เราคิด พูดหรือทำอะไรบ่อยๆ ยังช่วยโปรแกรมสมองและจิตใต้สำนึกให้เป็นไปอย่างที่ใจเราคิดโดยอัตโนมัติอีก ด้วย
เคล็ดลับ : สิ่งที่ใส่เข้าไป = สิ่งที่ออกมา
“สิ่งที่ใส่เข้าไป = สิ่งที่ออกมา” คือหลักการทำงานง่ายๆ ของสมองและจิตใต้สำนึก ดังนั้นถ้าคุณต้องการผลลัพธ์ในแบบใด ก็ให้ใส่สิ่งนั้นเข้าไป เช่น หากคุณอยากจะเป็นคนเก่ง ก็ให้พูดกับตัวเองบ่อยๆ ว่า “ฉันเป็นคนเก่ง” แทนที่จะพูดว่า “ฉันอยากจะเป็นคนเก่ง” เพราะการพูดว่า “ฉันอยาก..” จะทำให้จิตใต้สำนึกคิดว่าเรายังไม่มีสิ่งนั้น
4. อย่ารีรอที่จะลงมือทำ
หลังจากที่เราโปรแกรมตัวเองให้มีจิตใจแข็งแกร่งแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่สำคัญมากและขาดไม่ได้เลยก็คือ อย่ากลัวที่จะลงมือทำ เพราะหากเราไม่กล้าลงมือทำ เราก็คงไม่รู้หรอกว่าเรามีความศักยภาพมากแค่ไหน และหากเราเจอปัญหาแล้วหนี เราก็จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่า แท้จริงแล้ว ทุกปัญหามีทางออกเสมอ ดังนั้นใครที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จะปลุกยักษ์ในตัวเองให้ตื่นขึ้น จึงต้องรีบสลัดความกลัวทิ้งไป และลุกขึ้นมานับ 1…2…3.. แล้วลุยทันทีกับทุกเรื่อง
เคล็ดลับ : “กล้า” ที่จะตื่นเช้า
อีกเทคนิคที่จะฝึกความกล้าได้เป็นอย่างดีก็คือ การตั้งนาฬิกาปลุกตอนหกโมงเช้า และเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกก็ให้ลุกขึ้นจากที่นอนทันที และห้ามบิดขี้เกียจอีกต่อไป วิธีนี้ฟังเผินๆ อาจจะดูง่าย แต่เชื่อไหมว่า การลุกจากเตียงขณะที่คุณกำลังนอนฝันอยู่ใต้ผ้าห่มอันอบอุ่นนั้นเป็นสิ่งที่ ยากที่สุดแล้ว ดังนั้นหากคุณสามารถเอาชนะใจของตัวเองได้ทุกๆ เช้า งานใหญ่ก็จะกลายเป็นเรื่องกล้วยๆ ไปอย่างไม่ต้องสงสัย
5. ให้รางวัลกับความสำเร็จ
เทคนิคที่จะขาดไม่ได้ในการกระตุ้นศักยภาพของตนเองก็คือ การฉลองความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่น ทำงานเสร็จ คิดไอเดียใหม่ออก หรือแม้กระทั่งขายสินค้าได้ 1 ชิ้น ทุกครั้งที่เราทำอะไรสำเร็จ ให้เราให้รางวัลแก่ตนเองด้วยการกำหนดแน่นๆ แล้วออกเสียง “ YES! ” ดังๆ (หรือใครจะแอบกรี๊ดเบาๆ ก็ไม่ว่ากัน) พร้อมย้ำกับตัวเองอีกครั้งว่า “ฉันทำได้”
การให้กำลังใจตนเองเช่นนี้บ่อยๆ คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยปลุกยักษ์ที่เคยหลับใหลอยู่ในจิตใต้สำนึกของคุณมานาน แสนนานให้ตื่นขึ้นมา
เมื่อยักษ์ในตัวคุณตื่นขึ้นแล้ว คุณจะรู้ทันทีเลยว่า การใช้ชีวิตด้วยศักยภาพที่เต็มเปี่ยมนั้นมหัศจรรย์เพียงใด
Posted in: ปลุกยักษ์ในตัวคุณ
คิดเป็น…รวยก่อน จบ ป.4 ก็เป็นเศรษฐีได้
19:55
TavornElectriGroup
No comments
คิดเป็น…รวยก่อน จบ ป.4 ก็เป็นเศรษฐีได้
คิดเป็น รวยก่อน โดย พระพยอม
คนจำนวนมากเข้าใจว่า คนจะรวยได้ต้องเรียนสูงๆ หรือต้องจบต่างประเทศ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด ความจริงจบ ป.4 ก็เป็นเศรษฐีได้
ถ้าคิดเป็น…
คน ที่เรียนสูง คนที่จบจากต่างประเทศหรือแม้แต่ดอกเตอร์จำนวนมาก ปัจจุบันเป็นลูกจ้างอยู่ในบริษัทที่มีเจ้าของบริษัทไม่จบ ป.4 ก็มีไม่น้อย
ความรวย…
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวุฒิการศึกษา แต่มันขึ้นอยู่กับสมอง ความฉลาด ขึ้นอยู่กับความคิด
ถ้าคิดเป็น…
คน ที่เรียนสูง คนที่จบจากต่างประเทศหรือแม้แต่ดอกเตอร์จำนวนมาก ปัจจุบันเป็นลูกจ้างอยู่ในบริษัทที่มีเจ้าของบริษัทไม่จบ ป.4 ก็มีไม่น้อย
ความรวย…
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวุฒิการศึกษา แต่มันขึ้นอยู่กับสมอง ความฉลาด ขึ้นอยู่กับความคิด
ถ้าคิดเป็น จบ ป.4 ก็รวยได้
เขาบอกว่า “ถ้าอยากรวย…ต้องคิดให้เป็น”
ผู้คนก็พากันสงัสยว่า แล้วไอ้คิดเป็นเนี่ย มันคิดกันอย่างไร คนที่ร่ำรวยปัจจุบัน เขาคิดอย่างไรถึงรวย
ผู้คนก็พากันสงัสยว่า แล้วไอ้คิดเป็นเนี่ย มันคิดกันอย่างไร คนที่ร่ำรวยปัจจุบัน เขาคิดอย่างไรถึงรวย
น่าสนใจมั้ย…โยม….?
ถ้า สนใจเดินตามอาตมาไป อาตมาจะพาไปดู 108 วิธีที่จะนำท่านไปสู่ความร่ำรวย จะพาไปดูวิธีการคิดที่สร้างความร่ำรวยได้ในพริบตา แล้วทุกคนจะตกตะลึงว่า ไอ้ความรวยเนี่ย มันเกิดจากความคิดง่ายๆ วิธีการง่ายๆ ใครๆก็ทำได้
ไม่จำเป็นต้องรู้เยอะ
ไม่จำเป็นต้องเรียนสูง
ไม่จำเป็นต้องจบดอกเตอร์ต่างประเทศ
ไม่จำเป็นต้องรู้เยอะ
ไม่จำเป็นต้องเรียนสูง
ไม่จำเป็นต้องจบดอกเตอร์ต่างประเทศ
แค่จบ ป.4 ก็รวยได้แล้ว
จบ ป.4 ก็เป็นเศรษฐีระดับแนวหน้าได้ ทันทีที่อ่านหนังสือเล่มนี้จบ (อ่านเว็บของผมจบ) ทุกคนจะร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า “เราน่าจะรวยมาตั้งนานแล้ว”
เรื่องง่ายๆแค่นี้ ทำไมเราคิดไม่เป็น อยากจะรวยหรือยัง เริ่มเลยดีมั้ย โยม
เปลี่ยนวิกฤต…ให้เป็นโอกาส…
หัวใจ เศรษฐีข้อแรกคือ ต้องเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส คนที่จะรวยจะต้องคิดเสมอว่า วิกฤตของคนทั่วไป มันอาจจะคือโอกาสของเราก็ได้ เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เจอวิกฤต เราต้องมานั่งคิดว่า ในวิกฤตินั้น มีโอกาสอะไรให้เราบ้าง ถ้าคุณหาเจอความรวยก็จะวิ่งมาหาคุณ เพราะโดยปรกติ คนเราส่วนใหญ่พอเจอวิกฤติในชีวิตเข้าก็นั่งกลุ้ม ไอ้เราพอไปเห็นเข้าก็เลยพลอยกลุ้มกับมันไปด้วย
เหมือนกับว่าเรื่องนั้นมันกำลังเกิดขึ้นกับเราเช่นกัน
เพราะอะไรหละ…โยม
เพราะอะไร…เราจึงกลุ้ม…
เพราะเราคิดเหมือนเขา พอเขากลุ้มเราก็เลยกลุ้มไปด้วย
คน จะรวยต้องคิดเป็น คนที่คิดเป็น จะต้องคิดให้แตกต่างจากคนอื่น อาตมาจะลองฉายภาพให้เห็นกันชัดๆ สักภาพหนึ่ง แล้วโยมจะบอกว่า การเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส ไม่ใช่เรื่องยาก
เหมือนกับว่าเรื่องนั้นมันกำลังเกิดขึ้นกับเราเช่นกัน
เพราะอะไรหละ…โยม
เพราะอะไร…เราจึงกลุ้ม…
เพราะเราคิดเหมือนเขา พอเขากลุ้มเราก็เลยกลุ้มไปด้วย
คน จะรวยต้องคิดเป็น คนที่คิดเป็น จะต้องคิดให้แตกต่างจากคนอื่น อาตมาจะลองฉายภาพให้เห็นกันชัดๆ สักภาพหนึ่ง แล้วโยมจะบอกว่า การเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส ไม่ใช่เรื่องยาก
คิดต่างกัน…จึงรวยต่างกัน…
เมื่อ ตอนเกิดสงครามโลก ทุกคนตกอกตกใจ ร้องห่มร้องไห้ วิตกกังวล หวาดกลัว ขนลูกขนเต้า แก้วแหวนเงินทอง ทรัพย์สมบัติมีค่าหนีภัยสงครามกันหัวซุกหัวซุน
คนไทยทั้งประเทศนั่งคอตกกลุ้มกับสงคราม
ทุกคนมองว่าสงครามเป็นวิกฤติ
มี คนจีนกลุ่มหนึ่ง ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในปะรเทศไทย คนกลุ่มนี้คิดไม่เหมือนคนไทย พอเกิดสงครามปุ๊ป เขามานั่งสุมหัวกันเลย ช่วยกันคิด เขาคิดว่าเขาจะหาโอกาสจากสงครามได้อย่างไร
พอสงครามจบปุ๊ป
คน ไทยเจอพิษสงคราม สิ้นเนื้อประดาตัวไปตามๆกัน แต่คนจีน…รวย…เป็นมหาเศรษฐีกันถ้วนหน้า เพราะในขณะที่คนไทยหนีสงครามกันหัวซุกหัวซน คนจีนขนเอาสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพเข้ามาขาย คนไทยก็แห่กันซื้อ และต้องซื้อราคาแพงกว่าปรกติหลายเท่าตัว
คนจีนกลุ่มที่ว่านี้ ปัจจุบันเป็นเจ้าของกิจการที่ร่ำรวยและใหญ่โตที่สุดในประเทศไทยหลายบริษัท หลายคนตายไปแล้ว ทิ้งอภิมหาทรัพย์สมบัติมรดกความร่ำรวยเอาไว้ให้ ชนิดที่ใช้กัน 7 ชั่วโครตก็ยังไม่หมด
คนไทยทั้งประเทศนั่งคอตกกลุ้มกับสงคราม
ทุกคนมองว่าสงครามเป็นวิกฤติ
มี คนจีนกลุ่มหนึ่ง ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในปะรเทศไทย คนกลุ่มนี้คิดไม่เหมือนคนไทย พอเกิดสงครามปุ๊ป เขามานั่งสุมหัวกันเลย ช่วยกันคิด เขาคิดว่าเขาจะหาโอกาสจากสงครามได้อย่างไร
พอสงครามจบปุ๊ป
คน ไทยเจอพิษสงคราม สิ้นเนื้อประดาตัวไปตามๆกัน แต่คนจีน…รวย…เป็นมหาเศรษฐีกันถ้วนหน้า เพราะในขณะที่คนไทยหนีสงครามกันหัวซุกหัวซน คนจีนขนเอาสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพเข้ามาขาย คนไทยก็แห่กันซื้อ และต้องซื้อราคาแพงกว่าปรกติหลายเท่าตัว
คนจีนกลุ่มที่ว่านี้ ปัจจุบันเป็นเจ้าของกิจการที่ร่ำรวยและใหญ่โตที่สุดในประเทศไทยหลายบริษัท หลายคนตายไปแล้ว ทิ้งอภิมหาทรัพย์สมบัติมรดกความร่ำรวยเอาไว้ให้ ชนิดที่ใช้กัน 7 ชั่วโครตก็ยังไม่หมด
เห็นภาพไหม โยม???
ทุกคนอยู่ในสงครามเดียวกัน
คนไทยมองว่าสงครามเป็นวิกฤติ
แต่คนจีนมองว่าสงครามคือโอกาส
คนไทยมองว่าสงครามเป็นวิกฤติ
แต่คนจีนมองว่าสงครามคือโอกาส
แค่คิดต่างกันนิดเดียว รวยต่างกันมหาศาลเลย
เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ต้องคิดอยู่เสมอว่า วิกฤตของคนอื่น…อาจจะเป็นโอกาสของเราก็ได้…
อย่าคิดเหมือนใคร ต้องคิดให้แตกต่าง ต้องคิดให้เป็น เพราะคนคิดเป็น…จะรวยก่อนเสมอ
Posted in: คิดเป็นรวยก่อน
สรุปเนื้อหา พ่อรวย สอนลูก
11:17
TavornElectriGroup
No comments
สรุปเนื้อหา พ่อรวยสอนลูก - RichDad PoorDad - โรเบิร์ต คิโยซากิ
สรุปเนื้อหา พ่อรวย สอนลูก “ Rich Dad Poor Dad “ by โรเบิร์ต คิโยซากิ - Robert T. Kiyosaki
พ่อแท้ๆ ของผู้เขียน มีตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมการศึกษาของรัฐฮาวาย ในหนังสือผู้เขียนเรียกว่า Poor Dad
ผู้เขียนมีเพื่อนที่สนิทมากตั้งแต่เด็กๆ ชื่อ ไมค์ และพ่อของไมค์เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในกิจการหลายๆ อย่าง จนมีอาณาจักรที่ใหญ่โต ในหนังสือผู้เขียนเรียกว่า Rich Dad
ตอนที่หนึ่ง พ่อรวย – พ่อจน
พ่อทั้งสองของผู้เขียนต่างก็เป็นคนดี มีผู้เคารพนับถือมาก แต่มีคำสอนเรื่องการดำรงชีวิตที่แตกต่างกันสุดขั้ว ผู้เขียนได้รับฟังคำสอนที่แตกต่างกันทั้ง 2 ด้านตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ทำให้ผู้เขียนต้องรู้จักวิเคราะห์พิจารณาในคำสอนตั้งแต่เด็ก
พ่อจน พ่อรวย
ความรักเงิน เป็นบ่อเกิดแห่งความชั่วร้าย การขาดเงิน เป็นบ่อเกิดแห่งความชั่วร้าย
คนรวยควรเสียภาษีมากๆ เพื่อช่วยคนจน ภาษีทำโทษคนขยัน ให้รางวัลคนขี้เกียจ
เรียนมากๆ จะได้ทำงานกับบริษัทที่มั่นคง เรียนมากๆ จะได้ซื้อบริษัทที่มั่นคง
พ่อไม่รวย เพราะพ่อมีลูก พ่อต้องรวย เพราะพ่อมีลูก
ห้ามพูดเรื่องเงินตอนทานข้าว ชอบคุยเรื่องเงินตอนทานข้าว
เรื่องเงินทองต้องปลอดภัยไว้ก่อน ต้องรู้จักวิธีจัดการกับความเสี่ยง
บ้าน เป็นการลงทุนและทรัพย์สินที่ใหญ่ที่สุด บ้าน เป็นหนี้สินที่ใหญ่ที่สุดและไม่ใช่การลงทุน
ชำระหนี้เป็นอันดับแรก ชำระหนี้เป็นอันดับสุดท้าย
ประหยัดทุกบาททุกสตางค์เพื่อสะสมเงิน ใช้ทุกบาททุกสตางค์เพื่อการลงทุน
สอนวิธีเขียนประวัติส่วนตัวอย่างไร จึงจะได้งานทำ สอนวิธีเขียนแผนธุรกิจอย่างไร จึงจะสร้างงาน
ชาตินี้ ไม่มีวันรวยแน่ คนรวย เขาไม่ทำกันอย่างนั้นหรอก
เงิน ไม่ใช่สิ่งสำคัญ เงิน คืออำนาจ
เรียน เพื่อทำงานให้ได้เงินเดือนสูงๆ เรียน เพื่อรู้วิธีใช้เงินทำงานให้เรา
พ่อ ไม่ทำงานเพื่อเงิน เงิน ทำงานให้พ่อ
ตอนที่สอง บทเรียนที่ 1 : คนรวยไม่ทำงานเพื่อเงิน
ผู้เขียนได้รู้จักกับพ่อของไมค์ และขอร้องให้สอนวิธีหาเงิน
“ ถ้าเธออยากทำงานเพื่อเงิน เธอไปเรียนเอาที่โรงเรียน แต่ถ้าอยากเรียนวิธีใช้เงินทำงานให้เรา ฉันจะสอน “
“ การเรียนรู้วิธีใช้เงินทำงาน เป็นวิชาที่ต้องเรียนกันชั่วชีวิต “
“ การขาดเงินนั้น แย่พอๆ กับการผูกติดกับเงินนั่นแหละ “
“ อย่าให้อารมณ์เป็นตัวกำหนดการกระทำ รับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ แต่ต้องใช้สมองกำหนดการกระทำ “
ตัวอย่างการพูดจากอารมณ์
“ ต้องหางานทำให้ได้ ”
“ ฉันจะสอนให้เธอเป็นนาย ไม่ใช่เป็นทาสของเงิน ”
“ ที่สุดแล้วเราทุกคนเป็นลูกจ้าง แต่ในระดับที่แตกต่างกัน “
“ ฉันอยากให้เธอหลีกเลี่ยงกับดัก ซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยความกลัวและความโลภ “
“ ถ้าเราควบคุมความต้องการได้ เราจะมีเวลาคิดไตร่ตรองมากขึ้น “
“ หลายคนตั้งตารอวันเงินเดือนออก รอวันเงินเดือนขึ้น เพราะความกลัวและความต้องการ “
“ เราควรมีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง ความฝันและความสุข ไม่ใช่นอนก่ายหน้าผากกังวลว่าจะมีเงินให้ใช้ครบเดือนหรือไม่ “
“ ความเขลาไม่ใส่ใจเรื่องเงิน ทำให้เกิดความกลัวและความโลภ “
“ จำไว้ว่าการได้งานทำคือการแก้ปัญหาระยะสั้น ทุกคนคิดแค่วันเงินเดือนออก ปล่อยให้เงินมีอำนาจเหนือชีวิตพวกเขาจึงมีลักษณะคล้ายกันคือตื่นแต่เช้าไปทำงาน ไม่เคยหยุดคิดเลยว่า ‘มีวิธีอื่นที่ดีกว่ามั้ย’ “
ความคิดที่มาจากอารมณ์ที่ได้ยินบ่อยๆ
“ ทุกคนต้องทำงาน “
“ คนรวยขี้โกง “
“ ผมควรจะได้ขึ้นเงินเดือนมิฉะนั้นจะลาออก “
“ ฉันชอบงานนี้เพราะมั่นคง “
ความคิดที่ใช้สมอง
“ ฉันมองข้ามอะไรไปหรือเปล่า “
ตอนที่สาม บทเรียนที่สอง: ทำไมต้องรู้เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ
“ การมีเงินมากๆ นั้น ไม่สำคัญเท่ากับการรู้จักวิธีรักษาเงินให้อยู่กับเราตลอดไป “
“ พ่อจนจะเน้นให้อ่านมากๆ พ่อรวยจะบอกให้เรียนเรื่องเงิน “
กฏข้อที่-1 ต้องรู้ว่าอะไรคือทรัพย์สิน อะไรคือหนี้สิน
“ คนรวยเพิ่มทรัพย์สิน คนชั้นกลางเพิ่มหนี้สินโดยเข้าใจว่าเป็นทรัพย์สิน“
“ ถ้าอยากรวย ต้องอ่านให้เข้าใจตัวเลขและคำอธิบายเบื้องหลังนั้น “
“ ทรัพย์สินคือเงินใส่กระเป๋า หนี้สินคือเงินออกจากกระเป๋า “
รูปที่-3 การหมุนเวียนของกระแสเงินสดของคนจน
รายได้ เงินเดือน
รายจ่าย ภาษี , อาหาร , ค่าเช่า , เสื้อผ้า ,สันทนาการ , เดินทาง
ทรัพย์สิน หนี้สิน
รูปที่-4 การหมุนเวียนของกระแสเงินสดของคนชั้นกลาง
งาน
รายได้ เงินเดือน
รายจ่าย ภาษี , อาหาร , ค่าเช่า , เสื้อผ้า ,สันทนาการ , เดินทาง
ทรัพย์สิน หนี้สิน
เงินกู้บ้าน , สินเชื่อผู้บริโภค ,บัตรเครดิต
รูปที่-6 การหมุนเวียนของกระแสเงินสดของคนรวย
รายได้ เงินปันผล , ดอกเบี้ย , ค่าเช่า ,ค่าลิขสิทธิ์
รายจ่าย
ทรัพย์สิน หนี้สิน
หุ้น , พันธบัตร , ตั๋วสัญญาใช้เงิน, อสังหาริมทรัพย์ , ทรัพ์สินทางปัญญา
=== พ่อของไมค์ไม่ใช่นักวิชาการ แต่ความรู้เรื่องการเงินทำให้เขาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ===
=== โรงเรียนมีไว้ผลิตลูกจ้างที่ดี ไม่ได้มีไว้ผลิตนายจ้าง ===
=== พ่อจนมองว่าบ้านเป็นทรัพย์สิน พ่อรวยมองว่าบ้านเป็นหนี้สิน ===
=== เครื่องวัดฐานะทางการเงินคือ ถ้าเราหยุดทำงานวันนี้ เราจะมีเงินประทังชีวิตต่อไปอีกนานเท่าใด ===
=== เป้าหมายชีวิตของผมคือ การมีอิสระจากภาระทางการเงินทั้งปวง ===
=== สมมติว่าผมมีทรัพย์สินที่ทำเงินได้เดือนละ 2000 เหรียญ และมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 2000 เหรียญ ผมสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งเงินเดือนถึง 30 วัน ===
=== ขั้นต่อไปคือ การนำรายได้จากทรัพย์สินกลับไปลงทุนในช่องหนี้สิน เพื่อขยายขนาดช่องทรัพย์สินให้โตขึ้น ===
ตอนที่สี่ บทเรียนที่-3: เพิ่มทรัพย์สิน – ทำธุรกิจของตนเอง
=== อุปสรรค์ทางการเงินส่วนหนึ่ง มาจากการที่เรายอมทำงานเพื่อคนอื่นตลอดชีวิต ===
=== ถ้าไม่เอารายได้มาซื้อทรัพย์สิน คุณก็จะยังคงไม่มีความมั่นคงทางการเงินอยู่ต่อไป ===
=== รากฐานของคนชั้นกลางคือไม่กล้าเสี่ยง ทำให้ยึดติดอยู่กับเงินเดือนและงานที่ทำอย่างเหนียวแน่น เพราะที่นั่นเขารู้สึกว่า‘ปลอดภัย’ ===
=== หลายคนไม่เคยคิดถึงข้อแตกต่างระหว่าง ‘อาชีพ’ & ‘ธุรกิจ’ ===
=== คำถาม ‘คุณทำธุรกิจอะไร’ ‘คุณทำอาชีพอะไร’ ===
=== ผมแนะนำให้คุณทำงานประจำไป แล้วค่อยๆ สร้างธุรกิจด้วยการลงทุนในทรัพย์สินที่สร้างรายได้ ทุกบาททุกสตางค์ที่ใส่ลงในช่องทรัพย์สินจงอย่าให้ไหลออกมา ให้เงินนั้นทำงานให้คุณ ===
=== จงมุ่งมั่นทำงานประจำให้เต็มที่ พร้อมๆ กับสร้างช่องทรัพย์สินของคุณให้ใหญ่โตขึ้น ===
=== คนรวยซื้อความสบายทีหลัง แต่คนชั้นกลางมักซื้อความสบายก่อน ===
=== คนรวยจะสร้างช่องทรัพย์สินให้ใหญ่โตพอที่จะสร้างรายได้กลับคืนมา แล้วจึงนำรายได้นั้นไปซื้อความสะดวกสบายอีกที ===
ตอนที่ห้า บทเรียนที่-4: ภาษี & ประโยชน์ของนิติบุคคล
=== บริษัทเสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าบุคคลธรรมดา แล้วรายจ่ายบางอย่างได้รับการยกเว้นภาษีด้วย ===
ทุกครั้งที่ผมจัดสัมมนาเพื่อถ่ายทอดความรู้ จะกล่าวถึงหลักสำคัญของไหวพริบทางการเงิน 4 อย่าง ดังนี้
1. ความรู้ทางบัญชี - อ่านงบการเงินให้เป็น
2. ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน - ศิลปะของการใช้เงินทำงาน
3. ความเข้าใจตลาด - อุปสงค์และอุปทานในตลาด
4. ความรู้เรื่องกฎหมาย
=== คนรวยที่มีบริษัท มักทำดังนี้ 1) รายได้ à 2) รายจ่าย à 3) เสียภาษี ===
=== ส่วนลูกจ้างของบริษัท มักทำดังนี้ 1) รายได้ à 2) เสียภาษี à 3) รายจ่าย ===
ตอนที่หก บทเรียนที่-5: วิธีทำเงินของคนรวย
=== ในชีวิตจริง คนกล้ามักจะประสบความสำเร็จ ไม่ใช่คนที่มีแต่ความฉลาด ===
=== ถ้าจะเก่งเรื่องเงิน คุณต้องมีทั้งความรู้และความกล้า ===
=== ถ้าคุณมีความรูเรื่องเงิน คุณก็มีโอกาสจะเจริญก้าวหน้าไปอีกไกล แต่ถ้าคุณไม่รู้ โลกนี้จะเป็นโลกที่น่ากลัวสำหรับคุณ ===
=== เมื่อ 300 ปีก่อน เจ้าของที่ดินคือเจ้าของขุมทรัพย์ ต่อมาเปลี่ยนเป็นเจ้าของโรงงานและการผลิต ในปัจจุบันเป็นยุคของการสื่อสารข้อมูลไร้พรมแดน ใครมึขอมูลมากที่สุดและทันสมัยที่สุดคือเจ้าของขุมทรัพย์ ===
=== เงินเล็กน้อย ย่อมกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ได้ ถ้าคุณมีไหวพริบทางการเงิน ===
ไหวพริบทางการเงิน ประกอบด้วยทักษะ 4.ข้อใหญ่ๆ ดังนี้
1] ความเข้าใจ & ความสามารถในการอ่านตัวเลข
2] กลยุทธ์ในการลงทุน - ศิลปะในการใช้เงินทำงาน
3] การตลาด - อุปสงค์ & อุปทาน
4] กฎหมาย & กฎเกณฑ์ - ความรู้ความเข้าใจเรื่องกฎระเบียบทางบัญชี
=== มีนักลงทุนอยู่ 2 ประเภท พวกแรกชอบลงทุนแบบตรงไปตรงมา อีกพวกชอบพลิกแพลงสร้างสรรค์ ===
กว่าจะเป็นนักลงทุนประเภทชอบสร้างสรรค์ได้ จะต้องหมั่นฝึกฝนนานวันด้วยทักษะต่างๆ ดังนี้
1> ทำอย่างไร จึงจะมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น
2> ทำอย่างไร จึงจะได้เงินมาทำทุนโดยไม่ต้องกู้ธนาคาร
3> ทำอย่างไร จึงจะได้คนฉลาดมาเป็นลูกจ้าง
ตอนที่เจ็ด บทเรียนที่-6: ทำงานเพื่อเรียนรู้ - อย่าทำงานเพื่อเงิน
=== ผมอยากแนะนำให้คุณทำงานเพื่อประสบการณ์ & การเรียนรู้ที่คุณจะได้รับ มากกว่าเพื่อผลตอบแทนที่เป็นตัวเงิน และให้มองไปข้างหน้าว่าคุณยังขาดทักษะด้านใด แล้วเสาะแสวงหาเพิ่มเติม ===
=== สำหรับคนที่ลังเลใจว่าจะออกแรงแสวงหาทักษะใหม่ๆ ดีหรือไม่ ผมอยากให้คิดถึงเวลาที่คุณไปออกกำลังกาย ตอนที่ยากที่สุดคือการตัดสินใจว่า ‘จะไปดีหรือไม่’ ถ้าผ่านจุดนี้ไปได้แล้ว ที่เหลือสบายมาก ระหว่างออกกำลังกายคุณจะรู้สึกมีความสุข มีความภูมิใจในตัวเอง และเมื่อออกกำลังกายเสร็จคุณจะรูสึกดีใจที่ได้ตัดสินใจถูกต้อง ===
ตอนที่แปด ฟันฝ่าอุปสรรค์
แม้ว่าจะมีความรู้และไหวพริบทางการเงิน แต่บางคนก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ไม่สามารถทำให้ช่องทรัพย์สินโตขึ้นเพื่อเพิ่มกระแสเงินสดให้มากพอได้ สาเหตุส่วนใหญ่มาจาก
1) ความกลัว
2) ความคิดด้านลบ
3) ความขี้เกียจ
4) นิสัย
5) ความหยิ่งทะนงตน
สาเหตุข้อที่หนึ่ง: ต้องเอาชนะความกลัวว่าจะต้องเสียเงิน
=== ถ้ามีเงินน้อยแต่อยากรวย สิ่งที่คุณต้องทำคือ ‘โฟกัส’ ===
สาเหตุข้อที่สอง: ขจัดความคิดด้านลบ
=== ความกลัวโดยไม่มีเหตุผลทำให้เรากลายเป็นคนที่มองเห็นแต่ข้อเสีย ===
สาเหตุข้อที่สาม: ความขี้เกียจ
=== พ่อรวยสอนให้พูดว่า ‘ทำอย่างไรจึงจะซื้อได้’ ห้ามพูดว่า ‘ไม่มีปัญญาซื้อ’ ===
=== คำว่า ‘ไม่มีปัญญา’ จะก่อให้เกิดความรู้สึกเศร้าหมอง
คำว่า ‘ทำอย่างไร’ สร้างความกระตือรือร้น ความตื่นเต้น ต้องคิดเพื่อหาคำตอบ ===
=== หากปราศจากกิเลศ ขาดความต้องการที่จะสร้างชีวิตให้ดีขึ้น โลกจะพัฒนาได้อย่างไร ===
=== คราวนี้เมื่อใดที่คุณพบว่าตนเองกำลังหลีกเลี่ยงสิ่งที่ควรกระทำก็ให้ถามตัวเองว่า ‘แล้วเราจะได้อะไรจากการกระทำ
นี้บ้าง’ เติมความอยากลงไปสักนิด จะได้ขจัดเอาความขี้เกียจออกไปจากตัวคุณได้ ===
สาเหตุข้อที่สี่: อุปนิสัย
=== พ่อจน มักจ่ายเงินให้คนอื่นก่อน เหลือเท่าไรจึงให้ตัวเอง ===
=== พ่อรวยสอนว่า ควรจ่ายให้ตัวเองก่อน ทีนี้ก็จะมีความกดดันที่จะต้องหาเงินมาจ่ายภาษีและเจ้าหนี้ทั้งหลายให้ได้ ความกดดันนี้จะทำให้คุณคิดหาแหล่งรายได้เพิ่มขึ้น และทำทุกวิถีทางที่จะไม่ให้เจ้าหนี้มาโวยวายใส่หน้าคุณได้ ===
=== ถ้าจ่ายให้ตัวเองหลังสุด ไม่มีความกดดันก็จริง แต่จะไม่มีอะไรเหลือเลย ===
สาเหตุข้อที่ห้า: ความหยิ่งทะนงตน
=== ความรู้ทำให้ได้เงิน ความไม่รู้ทำให้เสียเงิน ===
=== จงขวนขวายหาความรู้จากหนังสือ หรือจากผู้มีประสบการณ์ในเรื่องนั้นๆ ===
ตอนที่เก้า เริ่มต้นอย่างไรดี
บัญญัติ 10.ประการที่จะช่วยให้คุณมีพลัง
1] พลังใจ: เพื่อจะเอาชนะความจริงที่ขวางหน้า
=== หลายคนอยากรวย แต่เมื่อหันมามองความจริงเขากลับท้อแท้ และคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ เป็นลูกจ้างขยันทำงานไปวันๆ ดูจะง่ายกว่าเยอะ ===
=== ถ้าพลังความอยากของคุณยังไม่แรงกล้าพอ หนทางแห่งความเป็นจริงก็ยังอีกยาวไกล ===
=== ถ้าคุณขาดพลัง ขาดความมุ่งมั่น อะไรๆ ในชีวิตก็กลายเป็นเรื่องยากไปหมด ===
2] เสรีภาพในการเลือก
=== เมื่อมีเงินอยู่ในมือ คุณมีสิทธิ์ที่จะเลือกอนาคตของคุณว่าจะเป็นคนรวย ชั้นกลาง หรือคนจน
นิสัยการใช้เงินสะท้อนให้เห็นตัวตนของเรา คนจนใช้เงินอย่างไม่ฉลาด ===
=== หลายครอบครัวสูญเสียทรัพย์สินเมื่อตกมาถึงรุ่นลูก เพราะไม่เคยสอนให้ลูกหลานรู้จักวิธีดูแลรักษา ===
=== คนจำนวนมากเลือกที่จะไม่รวย ส่วนใหญ่คิดว่ากว่าจะรวยเป็นเรื่องยุ่งยากเกินไปสำหรับเขา
มักชอบพูดว่า ‘ฉันไม่สนเรื่องเงินๆ ทองๆ หรอก’ ‘ไม่เห็นอยากรวยเลย’ ‘จะคิดให้ปวดหัวทำไม อายุยังน้อยแค่นี้’
‘ผมให้แฟนดูแลเรื่องเงิน ผมไม่ยุ่งหรอกครับ’ ===
=== คำพูดเหล่านั้นทำให้คุณสูญเสียประโยชน์ 2 อย่าง คือ เวลา & การเรียนรู้ ===
=== คุณมีสิทธิ์เลือกใช้เวลา ใช้เงิน และใช้สมองอย่างไรก็ได้ ===
=== ไม่มีเงิน ใช่ว่าคุณจะต้องหยุดการแสวงหาความรู้ ===
=== คนที่คิดว่าตนเองฉลาดแล้ว เก่งแล้ว มองอีกมุมหนึ่งคือคนที่ไม่กล้าเสี่ยง กลัวความผิดพลาด ===
=== คนฉลาดที่แท้จริง มักชอบฟังความคิดเห็นของผู้อื่นด้วยใจที่เปิดกว้าง พร้อมที่จะนำความคิดจากหลายๆ ด้านมาวิเคราะห์ประกอบเป็นความคิดใหม่ๆ ที่มีประโยชน์ ===
3] เลือกคบเพื่อนด้วยความระมัดระวัง
=== เพื่อนที่เป็นกลุ่มคนมีเงิน มักคุยแต่เรื่องเงินๆ ทองๆ เรื่องการลงทุน เรื่องเศรษฐกิจ ===
=== ในกรณีที่คุณเล่นหุ้น บางครั้งก็จะมีข้อมูลวงในจากการพูดคุยกับเพื่อนกลุ่มนี้ ===
=== ในธุรกิจที่ประสบผลสำเร็จ หลักสำคัญที่ต้องจำไว้คือคุณต้องมีความมั่นใจในตนเองโดยไม่โอนอ่อนผ่อนตามเสียงข้างมาก กว่าจะเป็นข่าวหน้าหนึ่งคนอื่นก็เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไปจนหมดแล้ว ===
4] สร้างสูตรและเรียนสูตรใหม่ๆ: ประโยชน์จากการเรีนยให้เร็วที่สุด
=== สูตรเดียวที่สอนเกี่ยวกับเรื่องเงินในโรงเรียน คือ ‘ทำงานเพื่อเงิน’ ===
=== ในสังคมปัจจุบัน ความได้เปรียบไม่ได้อยู่ที่คุณรู้อะไรแต่อยู่ที่คุณเรียนรู้สูตรใหม่ๆ ได้เร็วแค่ไหน ===
5] ชำระหนี้ให้ตัวเองเป็นอันดับแรก: ประโยชน์จากการควบคุมตัวเอง
=== ถ้าคุณไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ คุณไม่มีวันรวย ===
=== มี 3.ทักษะที่สำคัญสำหรับผู้ที่เริ่มทำธุรกิจของตนเอง ดังนี้
1) การบริหารกระแสเงินสด 2) การบริหารบุคคลากร 3) การบริหารเวลา
=== นิสัยไม่ดีที่คนชั้นกลางชอบทำคือการแคะกระปุกแล้วเอาเงินออมมาชำระหนี้ ===
=== ถ้าอยากเป็นคนรวยต้องรู้ว่า เงินออมมีไว้เพื่อขยายช่องทรัพย์สิน ไม่ใช่มีไว้จ่ายหนี้ ===
6] เลี้ยงนายหน้าของคุณให้ดี: ประโยชน์จากคำแนะนำที่ดี
=== นายหน้าทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้คุณ คอยติดตามสถานการณ์เพื่อคุณจะได้มีเวลาไปตีกอล์ฟ ===
=== เชื่อหรือไม่ว่าคนจำนวนมากให้ทิปพนักงานเสริฟอาหารร้อยละ 15~20 ทั้งๆ ที่บริการไม่ได้ประทับใจนักหนา
แต่กลับลังเลที่จะจ่ายค่านายหน้าเพียงร้อยละ 3~7 ===
=== ทำไมเราทิปคนในช่องรายจ่าย มากกว่าคนในช่องทรัพย์สิน ===
7] จงเป็นผู้ให้: ประโยชน์จากการได้เปล่า
=== นักลงทุนที่ฉลาดควรมองหาอะไรที่มากกว่าผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุน นั่นคือทรัพย์สินที่ได้หลังจากได้เงินลงทุนครบถ้วนแล้ว นี่แหละคือไหวพริบทางการเงิน ===
8] ทรัพย์สินซื้อความฟุ่มเฟือย: ประโยชน์จากการ ‘โฟกัส’
=== เริ่มสอนลูกหลานและคนที่คุณรักเรื่องไหวพริบทางการเงินเสียแต่เนิ่นๆ ถ้าขาดไหวพริบทางการเงิน เงินจะฉลาดกว่าคุณ เพราะคุณอาจต้องทำงานเพื่อเงินไปตลอดชีวิต ===
9] ความจำเป็นต้องมีพระเอกในดวงใจ: ประโยชน์ของจินตนาการ
=== วิธีนี้ทำให้ผมมีพลังพิเศษ เหมือนแรงดลใจที่ทำให้รู้สึกว่าไม่มีอะไรยากเกินไปสำหรับเราคนอื่นทำได้เราก็ต้องทำได้ ===
10] สอนผู้อื่นแล้วคุณจะได้รับตอบแทน: อานิสงส์แห่งการให้
=== ผมต้องการมีเครือข่าย ผมแนะนำให้คนโน้นรู้จักกับคนนี้ ในทีสุดผมก็มีเครือข่ายกับคนจำนวนมาก ===
=== ไม่ว่าจะเป็นเงิน ลูกค้า ความรัก ความสุข ธุรกิจ คุณต้องเริ่มต้นด้วยการให้ ถ้าไม่มีใครยิ้มให้ผม ผมก็จะยิ้มให้เขาก่อน ===
ตอนที่สิบ ข้อควรทำ
บางคนคิดแต่ไม่ทำ บางคนชอบทำโดยไม่คิด คุณควรจะอยู่ตรงกลาง
1) หยุดทุกอย่างแล้วพิจารณาว่าอะไรทำไปแล้วได้ผล อะไรทำไปแล้วไม่ได้ผล
2) มองหาความคิดใหม่ๆ
3) หาคนที่มีประสบการณ์ หรือที่เคยลงทุนแบบที่คุณสนใจ
4) สมัครเข้าสัมมนา อบรม หรือเรียนพิเศษ
5) เสนอราคา เพิ่มทางถอยไว้ด้วย ‘ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหุ้นส่วน’
6) เดิน วิ่งออกกำลัง หรือขับรถยนตร์ ผ่านบางพื้นที่สักเดือนละครั้ง เพื่อดูการเปลี่ยนแปลง
7) เรียนรู้เรื่องการเล่นหุ้น
8) ทำไมผู้บริโภคจึงไม่รวย
9) หาให้ถูกที่
10) ผมมองหาคนต้องการซื้อก่อน แล้วจึงมองหาคนต้องการขาย
11) เรียนรู้จากประวัติศาสตร์
12) ลงมือทำได้แล้ว
Posted in: พ่อรวยสอนลูก
ไขความลับสู่ความมั่งคั่ง The Secret To Wealth
10:46
TavornElectriGroup
No comments
ไขความลับสู่ความมั่งคั่ง The Secret
เรียนรู้การมีอิสรภาพทางการเงินกับ Richdad
ความลับของคนรวย
สร้างกำลังใจให้กับคนที่ท้อ
Posted in: อิสระทางการเงิน,the secret
พ่อรวยสอนลูก คนรวยคนจน คนชั้นกลาง
10:10
TavornElectriGroup
No comments
สรุปพ่อรวยสอนลูก
เงินสี่ด้าน
ความคิด ของ คนจน และ คนรวย
วิธีใช้เงิน..คนจน และคนรวย
นิทานเปรียบเทียบ คนจนกับคนรวย 1
นิทานเปรียบเทียบ คนจนกับคนรวย จบ
คำแนะนำเกี่ยวกับการทำประกันภัย
02:47
TavornElectriGroup
No comments
คำแนะนำเกี่ยวกับการทำประกันภัย
หลักเกณฑ์การพิจารณาการซื้อประกันภัยที่ถูกต้อง
(แหล่งข้อมูลจาก www.doi.go.th)
พิจารณาความคุ้มครองหรือภัยที่กำลังเผชิญอยู่
พิจารณาเบี้ยประกันภัยว่าเป็นเท่าไร ไม่ใช่ไปดูว่าเบี้ยประกันภัยถูกหรือแพง หรือได้ส่วนลดเท่าไรก่อน โดยไม่สนใจอย่างจริงจังเลยว่าความคุ้มครองเป็นอย่างไร ซึ่งถือว่าเป็นข้อบกพร่องอย่างยิ่งของการซื้อประกันภัย และเป็นการซื้อประกันภัยที่นำไปสู่ข้อโต้แย้งเมื่อมีเคลมเกิดขึ้น
เงื่อนไขและข้อกำหนดต่างๆ ในกรมธรรม์ อาจทำให้ผู้เอาประกันภัยเสียเปรียบได้ จึงควรตรวจสอบข้อความต่างๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน และทำความเข้าใจความหมายของถ้อยคำในกรมธรรม์ให้ดี
ควรนำกรมธรรม์ของหลายๆ บริษัทมาเปรียบเทียบกัน เพื่อจะได้ทราบว่าเงื่อนไขและข้อกำหนดของบริษัทไหนให้ประโยชน์มากกว่ากัน
นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องตระหนักไว้เสมอก็คือ การมีกรมธรรม์ประกันภัยที่มีเงื่อนไขที่ดีนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง และการเรียงร้องค่าเสียหายเมื่อมีเคลมเกิดขึ้นนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะการประเมินความเสียหายและการเจรจาต่อรองค่าเสียหายนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากจำเป็นต้องให้ผู้ที่มีความรู้ที่อยู่ในอาชีพนี้และมีประสบการณ์ทำหน้าที่แทน
การพิจารณาเลือกบริษัทที่รับประกันภัย
(แหล่งข้อมูลจาก Thailand Insurance ฉบับวันที่ 16 ธันวาคม 43)
บริษัทประกันภัยที่มีผู้เอาประกันเลือกใช้บริการมากที่สุด
บริษัทที่มีผลิตภัณฑ์ตรงความต้องการของผู้เอาประกันภัยมากที่สุด
บริษัทประกันภัยที่จ่ายค่าสินไหมทดแทนตรงต่อเวลาที่นัดหมาย
บริษัทประกันภัยให้บริการรวดเร็ว
บริษัทประกันภัยมีการให้ความรู้กับผู้เอาประกันภัย
บริษัทประกันภัยที่มีระบบเทคโนโลยีที่พัฒนามากที่สุด
บริษัทประกันภัยที่ให้ความสำคัญต่อบทบาทของนายหน้า
บริษัทประกันภัยให้ความสำคัญต่อการพัฒนาบุคลากร
จากการสอบถามผู้บริหารบริษัทนายหน้า ถึงการคัดเลือกบริษัทประกันภัยในการแนะนำให้ลูกค้าทำประกันด้วย หรือการส่งงานให้กับบริษัทประกันภัยแห่งใดแห่งหนึ่ง หลายท่านให้ความเห็นว่า หลักๆ ต้องเป็นบริษัทที่ดี บริการดี และไม่มีปัญหาเรื่องการจ่ายสินไหม
ทั้งหมดนี้ คือข้อมูลส่วนหนึ่ง ที่ประชาชนควรคำนึงถึงเพื่อนำไปใช้ประกอบการพิจารณาก่อนตัดสินใจทำ
(แหล่งข้อมูลจาก www.doi.go.th)
พิจารณาความคุ้มครองหรือภัยที่กำลังเผชิญอยู่
พิจารณาเบี้ยประกันภัยว่าเป็นเท่าไร ไม่ใช่ไปดูว่าเบี้ยประกันภัยถูกหรือแพง หรือได้ส่วนลดเท่าไรก่อน โดยไม่สนใจอย่างจริงจังเลยว่าความคุ้มครองเป็นอย่างไร ซึ่งถือว่าเป็นข้อบกพร่องอย่างยิ่งของการซื้อประกันภัย และเป็นการซื้อประกันภัยที่นำไปสู่ข้อโต้แย้งเมื่อมีเคลมเกิดขึ้น
เงื่อนไขและข้อกำหนดต่างๆ ในกรมธรรม์ อาจทำให้ผู้เอาประกันภัยเสียเปรียบได้ จึงควรตรวจสอบข้อความต่างๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน และทำความเข้าใจความหมายของถ้อยคำในกรมธรรม์ให้ดี
ควรนำกรมธรรม์ของหลายๆ บริษัทมาเปรียบเทียบกัน เพื่อจะได้ทราบว่าเงื่อนไขและข้อกำหนดของบริษัทไหนให้ประโยชน์มากกว่ากัน
นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องตระหนักไว้เสมอก็คือ การมีกรมธรรม์ประกันภัยที่มีเงื่อนไขที่ดีนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง และการเรียงร้องค่าเสียหายเมื่อมีเคลมเกิดขึ้นนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะการประเมินความเสียหายและการเจรจาต่อรองค่าเสียหายนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากจำเป็นต้องให้ผู้ที่มีความรู้ที่อยู่ในอาชีพนี้และมีประสบการณ์ทำหน้าที่แทน
การพิจารณาเลือกบริษัทที่รับประกันภัย
(แหล่งข้อมูลจาก Thailand Insurance ฉบับวันที่ 16 ธันวาคม 43)
บริษัทประกันภัยที่มีผู้เอาประกันเลือกใช้บริการมากที่สุด
บริษัทที่มีผลิตภัณฑ์ตรงความต้องการของผู้เอาประกันภัยมากที่สุด
บริษัทประกันภัยที่จ่ายค่าสินไหมทดแทนตรงต่อเวลาที่นัดหมาย
บริษัทประกันภัยให้บริการรวดเร็ว
บริษัทประกันภัยมีการให้ความรู้กับผู้เอาประกันภัย
บริษัทประกันภัยที่มีระบบเทคโนโลยีที่พัฒนามากที่สุด
บริษัทประกันภัยที่ให้ความสำคัญต่อบทบาทของนายหน้า
บริษัทประกันภัยให้ความสำคัญต่อการพัฒนาบุคลากร
จากการสอบถามผู้บริหารบริษัทนายหน้า ถึงการคัดเลือกบริษัทประกันภัยในการแนะนำให้ลูกค้าทำประกันด้วย หรือการส่งงานให้กับบริษัทประกันภัยแห่งใดแห่งหนึ่ง หลายท่านให้ความเห็นว่า หลักๆ ต้องเป็นบริษัทที่ดี บริการดี และไม่มีปัญหาเรื่องการจ่ายสินไหม
ทั้งหมดนี้ คือข้อมูลส่วนหนึ่ง ที่ประชาชนควรคำนึงถึงเพื่อนำไปใช้ประกอบการพิจารณาก่อนตัดสินใจทำ
Posted in: ประกันภัยรถยนต์
ประโยชน์ของการทำประกันชีวิต
02:44
TavornElectriGroup
No comments
2. ด้านการออม
การทำประกันชีวิต มีลักษณะคล้ายกับเป็นการออมแบบกึ่งบังคับ โดยเฉพาะการประกันชีวิตแบบตลอดชีพและสะสมทรัพย์ ซึ่งผู้เอาประกันจะต้องมีหน้าที่ในการจ่ายเบี้ยประกันอย่างสม่ำเสมอ และหากผู้เอาประกันไม่เสียชีวิตเมื่อครบระยะเวลาตามที่กรมธรรม์กำหนดไว้ ก็จะได้เงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ย นับได้ว่าเป็นการออมเพื่อไว้ใช้ยามชราก็ได้ หรือออมไว้เพื่อเก็บเป็นทุนการศึกษาของบุตรหลาน นอกจานี้ ยังเป็นการสร้างค่านิยมให้คนรู้จักประหยัด และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัวอีกด้วย
3. ด้านการให้ความคุ้มครอง
การทำประกันชีวิตจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเรื่องการเงิน รวมทั้ง เรื่องค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นของครอบครัว อันเนื่องมาจากการเสียชีวิตของบุคคลใดบุคคลหนึ่งในครอบครัวนั้น
4. ด้านความมั่นคง
การประกันชีวิตสามารถช่วยสร้างความมั่นคงของรายได้ให้แก่ผู้เอาประกันได้ อาทิ ในกรณีการทำประกันการเจ็บป่วย หรือการประกันอุบัติเหตุ ผู้เอาประกันก็สามารถมีรายได้ในยามเจ็บป่วยหรือมีรายได้สำหรับเลี้ยงดูตนเองในกรณีทุพพลภาพโดยสิ้นเชิงได้ ในกรณีการทำประกันชีวิตเพื่อเลี้ยงชีพยามชรา ผู้เอาประกันก็สามารถมีรายได้เพื่อเลี้ยงชีพไปจนตลอดชีวิตเช่นกัน
5. ด้านการได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
เนื่องจากรัฐบาลได้ให้การส่งเสริมธุรกิจประกันชีวิต ดังนั้น ผู้ที่ทำประกันชีวิตก็สามารถนำเบี้ยประกันชีวิตของบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทย ไปใช้เป็นค่า ลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 50,000 บาท ทั้งนี้ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาสนใจการทำประกันชีวิตเพิ่มขึ้น
6. ด้านอื่นๆ
การทำประกันชีวิตเปรียบเสมือนการเตรียมเงินไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เมื่อกรมธรรม์ครบกำหนดระยะเวลาตั้งแต่ 3 ปี ขึ้นไป ก็จะมีมูลค่าเงินสด หากผู้เอาประกันมีความจำเป็นทางการเงินก็สามารถขอ กู้เงินจำนวนหนึ่งตามหลักเกณฑ์ที่บริษัทกำหนดไปใช้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำได้
ที่มา:สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง
Posted in: ประกันชีวิต
ก้าวเดินต่อไปสู่ความร่ำรวยมั่งคั่ง 2
02:30
TavornElectriGroup
No comments
เอาละครับ ตอนนี้ทุกท่านคงอยากทำ MLM แล้วละ ครับ แต่จะทำที่ไหน ทำกับใคร นิสิครับ เรื่องสำคัญ
ทีม club-rich4u จะทำให้การทำธุรกิจเครื่อข่ายเป็นเรื่องง่ายๆ สบายๆ สไตย์ คนรุ่นใหม่ยุค IT ครับ ไม่ลำบากเหมือน เมื่อก่อน โดยเราจะได้ IT ให้เป็นประโยชน์ และจะใช้ IT ในการสร้างทีมงานและเติบโตไปพร้อมๆ กันครับ นี่คือจุดแข็งของทีมเรา ครับ 555 มีเทคนิคมากมายที่จะทำให้ทุกคนสำเร็จพร้อมกัน
ทีม club-rich4u จะทำให้การทำธุรกิจเครื่อข่ายเป็นเรื่องง่ายๆ สบายๆ สไตย์ คนรุ่นใหม่ยุค IT ครับ ไม่ลำบากเหมือน เมื่อก่อน โดยเราจะได้ IT ให้เป็นประโยชน์ และจะใช้ IT ในการสร้างทีมงานและเติบโตไปพร้อมๆ กันครับ นี่คือจุดแข็งของทีมเรา ครับ 555 มีเทคนิคมากมายที่จะทำให้ทุกคนสำเร็จพร้อมกัน
Posted in: clubrich4u,mlm
หนังสือเรื่อง ..... พ่อรวยสอนลูก
02:26
TavornElectriGroup
No comments
หนังสือเรื่อง ..... พ่อรวยสอนลูก
เขียนโดย ..... Robert T. Kiyosaki , Sharon L.Lechter C.P.A. [ ฉบับของต่างประเทศ ]
เขียนโดย ..... "ดร.เป้ง" หรือ "สุวรรณ วลัยเสถียร" [ ฉบับของคนไทย ]
แปลโดย ..... นันทวัน รุจิวงศ์
เนื้อหา ..... เป็นหนังสือที่ให้แนวคิดในการสร้างตัว สร้างชีวิต เพื่อนำพาชีวิตให้หลุดพ้นไปจากสิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่า "สนามแข่งหนู" เพื่อไปยังเส้นทางด่วนที่นำไปสู่ความมั่งคั่งและนำไปสู่อิสรภาพทางการเงิน ซึ่งให้ทั้งคำสอนและคำแนะนำเกี่ยวกับความรู้เรื่องการเงิน ซึ่งไม่เคยมีใครสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนแม้กระทั่งในโรงเรียน คนส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาเรื่องการเงิน ซึ่งเป็นเพราะโรงเรียนไม่เคยสอนวิชาการเงิน
ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ..... คนส่วนใหญ่จะทำงานเพื่อเงิน และไม่เคยรู้วิธีใช้เงินทำงานแทนเรา หนังสือเล่มนี้จะแสดงให้เห็นว่า การทำงานเพื่อเงินเดือนสูง ไม่ช่วยให้ร่ำรวยได้ "บ้าน" ไม่ใช่ทรัพย์สินอย่างที่คนส่วนใหญ่คิดกัน แต่มันคือหนี้สินต่างหาก
โรงเรียน ..... ไม่เคยสอนเรื่องการเงินให้เด็กเลย ... ความแตกต่างของคำว่า "ทรัพย์สิน" และ "หนี้สิน" ... วิธีสอนลูกเรื่องการเงินและวิธีประสบความสำเร็จทางการเงินแม้ว่าการเรียนแบบเก่าๆ จะยังมีความสำคัญ แต่ก็ไม่เพียงพอสำหรับโลกปัจจุบัน หนังสือเล่มนี้จึงให้ความรู้เรื่องการเงินและวิธีใช้เงินที่ดีที่สุด
หนังสือเรื่องนี้ ..... ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะพ่อฝรั่งสอนให้ลูกรู้จัก "เส้นทางด่วน" ที่นำไปสู่ความมั่งคั่งและนำไปสู่อิสรภาพทางการเงินอย่างรวดเร็ว
แต่ ..... บางคนคอมเมนต์ว่า พ่อฝรั่ง สอนให้ลูกโกงมากกว่าสอนให้ลูกเป็นคนรวยที่มีความสุข ในขณะที่พ่อผู้ยิ่งใหญ่หลายคนของเมืองไทย กำลังปวดหัวกับลูกนักเลงที่ยิงหัวคนเล่นในผับ หรือขี่รถเบนซ์คะนองเมืองจนเกิดเรื่องเกิดราว หรือไม่ก็พวกลูกคนรวยที่ใช้เวลาและเงินทองของพ่อแม่เอาไปมั่วดารานักร้องหมดไปวันๆ
แต่ ..... พ่อรวยระดับร้อยล้าน เช่น "ดร.เป้ง" หรือ "สุวรรณ วลัยเสถียร" อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไม่เพียงแต่สอนให้ลูกรวยสินทรัพย์เท่านั้นแต่เขายังสอนให้ลูกร่ำรวยความสุข ร่ำรวย สุขภาพจิตอีกด้วย นี่คือ เคล็ด (ไม่) ลับ เรื่อง พ่อรวยสอนลูก ที่ ดร.เป้งตั้งใจเขียนให้คนเป็นพ่อและคนเป็นลูกอ่านล่าสุด หนังสือชุดดังกล่าวพิมพ์แจกจนนับครั้งไม่ถ้วน เพราะใครอ่านก็ชอบ ใครอ่านก็มีความสุข
ดร.เป้งเล่าว่า ..... ช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ครอบครัวไทยล่มสลาย เพราะแต่ละครอบครัวใช้เงิน กันเกินตัว กู้เงินกันมากเกินไป เอาเงินในอนาคตมาใช้เสียหมด พอถึงเวลาภัยพิบัติมา ครอบครัวจำนวนมากจึงล้มกันระเนระนาด
"ผมไม่ได้เขียนให้ลูกผมอ่าน เพราะลูกผมโตหมดแล้ว แต่ผมเขียนให้ครอบครัวไทยอ่านต่างหาก" ดร.เป้งกล่าว
ดร.เป้งเล่าว่า ..... ถ้าหากแต่ละครอบครัวการเงินแข็งแรงมวลรวมของชาติก็จะแข็งแรง ฉะนั้นเคล็ดลับของ "พ่อรวยสอนลูก" ก็คือ ให้ทุกคนบริหารเงินของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน พยายามไม่ให้เสียเงินต้น หรือพยายามหักภาษีให้ได้มากที่สุด หรืออย่าทำประกันจนเกินสมควร (never over-insure )
"ผมเป็นลูกคนจีน คิดอะไรเป็นเซ็งลี้ไปหมด แล้วผมก็รักตลาดเงินตลาดทุนเป็นชีวิตจิตใจ ผมเชื่อว่าสิ่ง ที่ผมรักสามารถสร้างฐานะความเป็นปึกแผ่นได้รวดเร็ว แต่หลังๆ มานี้ ผมโฟกัสเรื่องการออมเงิน การบริหารเงินในครอบครัวมากกว่า"
"คุณแม่ผมเคยสอนผมว่า เราจะรวยหรือจนมันก็เรื่องของเรา เขาจะรวยหรือจนก็เรื่องของเขา ไม่ใช่ว่าเราการเงินไม่ดี เขาฐานะดี เขาขับรถเบนซ์ เราก็สู้กู้หนี้ยืมสินไปซื้อรถเบนซ์มาให้ลูกของเรา ทำอย่างนี้ไม่ถูก มันเกินฐานะเรา" อดีตรัฐมนตรีผู้ร่ำรวยกว่าห้าร้อยล้านกล่าว
เคล็ดลับที่ ดร.สุวรรณ สอน ..... พ่อที่อยากให้ลูกรวยมีหลายประการ เช่นเรื่องโรงเรียนของลูก ไม่จำเป็นต้องส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ เพราะสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุทุกวันนี้การส่งลูกไปเรียนนอกต้องจ่าย ปีละล้านบาท แต่ให้ลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติจ่ายแค่ปีละ 3 แสนบาท แถมลูกยังมีเพื่อนมากและได้ ใกล้ชิดพ่อแม่
"เงินก้อนเพื่อส่งลูกเรียนนอก อาจสูงถึง 20 ล้านบาท ถ้าลูกจบปริญญาตรี แต่ถ้าลูกเรียนเมืองไทย เงินก้อนนี้ก็ไม่ต้องใช้ เมื่อลูกเรียนจบ เงิน 20 ล้านคือเงินเริ่มต้นธุรกิจของลูก โดยไม่ต้องไปกู้ยืมจาก ธนาคาร"
ส่วนเรื่อง ..... การงานของลูก ดร.เป้ง สอนให้ลูกหลีกเลี่ยงการเป็นมนุษย์เงินเดือน เพราะการทำงานกินเงินเดือนเสียภาษีมาก ควรส่งเสริมให้ลูกเป็นผู้ประกอบการจะรวยเร็วกว่า
"ลูกผมอายุ 23 ปี วันนี้เขาลงทุนกับบริษัทสิงคโปร์เพื่อส่งออกปลาสวยงาม ทำงานสัปดาห์ละ 7 วัน บางวันต้องทำงานดึกๆ ถึงตี 2 ตี 3 เพื่อส่งปลาไปสนามบินดอนเมืองในตอนเช้า วันนี้เขามีเงินเดือนหลายหมื่น ลูกผมเขาหวังว่าสักวันจะนำบริษัทปลาเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเพื่อทำให้มูลค่า ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ"
เรื่องต่อมาคือ ..... การลงทุนอย่างฉลาดในลงทุนซื้อบ้านเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย ควรซื้อให้เกินกำลังที่คุณจะซื้อได้ เพราะเมื่อคุณทำงานไปเรื่อยๆ เงินเดือนคุณจะเพิ่มขึ้นไป เมื่อคุณซื้อเกินกำลัง นั่นแสดงว่าคุณซื้อบ้านได้ค่อนข้างดี เมื่อเงินเดือนคุณเพิ่มไปเรื่อยๆ อีกไม่กี่ปีก็เป็นการผ่อนจ่ายตามกำลัง พอผ่านไปอีกก็เป็นการผ่อนจ่ายอย่างสบาย เพราะว่าดอกเบี้ยต่ำมาก ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณซื้อบ้านราคา 10 ล้านบาท โอกาสที่บ้านจะขึ้นราคาเป็น 20 ล้าน หรือ 30 ล้านย่อมเป็นไปได้ แต่ถ้าคุณซื้อบ้าน 1 ล้านจะให้ราคาขึ้นเป็น 10 ล้านเป็นเรื่องยาก ฉะนั้นควรซื้อบ้านในราคาที่เกินกำลังเอาไว้
ข้อดี ..... ประการต่อมาคือ บ้านเป็นทรัพย์สินอย่างเดียวที่คุณใช้ฟรี และใช้ไปราคายิ่งดีขึ้น นอกจากนี้ ดอกเบี้ยที่จ่ายยังหักภาษีได้ปีละ 50,000 บาท ดีกว่าซื้อรถยนต์ราคาแพงหลายเท่า เพราะรถยนต์คุณไปผ่อนดอกเบี้ยหักไม่ได้ มีค่าเสื่อมราคา คุณซื้อรถเบนซ์ 2 ล้านอีกไม่กี่ปีก็ขายได้ 800,000 บาท
ถ้า ..... คุณซื้อบ้าน 3 ล้าน ต่อไปอาจจะขายได้ 5 ล้านก็ได้ แล้วเดี๋ยวนี้กฎหมายพิเศษ ยกเว้น บ้านมือสองขายไม่ต้องเสียภาษีอีก ถ้าคุณเอาเงินไปซื้อบ้านหลังใหม่ภายในปี ต่อมา"บ้านของผมในซอยสุขุมวิท 8 ซื้อมา 5 ล้าน ผมอยู่ฟรีมา 20 ปี ผมไม่ต้องไปเสียค่าเช่า ตอนนี้อย่างน้อยทั้งบ้าน ทั้งที่ดิน ราคาไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท" ยอดคุณพ่อวัย 57 ปี น้ำหนัก 66 กิโลกรัมกล่าว
บ้านหลังนี้ ..... อยู่ใจกลางเมือง ร่มครึ้มเพราะต้นไม้ มีกระรอกวิ่ง เดินออกไปก็ถึงสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ไม่ต้องใส่สูท ไม่ต้องเจอรถติด และไม่ต้องเปลืองค่าน้ำมัน สบายไปแปดอย่าง
จากเรื่องบ้าน ..... ก็มาสู่เรื่องการประกัน ข้อแนะนำของ ดร.เป้งก็คือ อย่าทำประกันชีวิตจนเกินสมควร หลายคนฟังคนขายประกันแล้วรู้สึกเกรงกลัวว่าชีวิตมีความเสี่ยงมาก จึงซื้อประกันเกินความจำเป็น แต่อย่าลืมว่า ถ้าคุณจ่ายเบี้ยประกันเป็นรายปี หากปีใดคุณไม่เจ็บป่วย เบี้ยประกันย่อมสูญเปล่า ดังนั้นจง ประกันแต่เพียงพอ
เช่นเดียวกับ ..... ประกันรถยนต์ ครอบครัวของ ดร.สุวรรณ ประกันรถยนต์ชั้น 3ทุกคัน
"ผมไม่เคยประกันชั้น 1 เลย ชั้นหนึ่งประกัน 30,000 บาท ชั้น 3 ประกัน 3,000 บาท อย่างบ้านของผมรถยนต์ 5-6 คันก็ประหยัดปีหนึ่งเป็นแสนๆ แล้ว" เพราะตามทฤษฎีประกันภัยแล้ว เขาบอกว่า ถ้ารถคันไหน ปีหนึ่งวิ่งไม่เกิน 30,000 กิโลเมตร ประกันชั้น 3 เพราะว่า ความเสี่ยงมันน้อย ถ้าคุณเป็นพนักงานขาย ขับรถเดือนละ 8,000 กิโลเมตร ให้ ประกันชั้นหนึ่งไปเลย
จากนั้น ..... ลูกที่อยากรวย ควรเรียนรู้ เรื่องการสร้างครอบครัว โดยมีข้อแนะนำคือ ลูกต้องยึดหลัก "ผัวเดียวเมียเดียว" หากครอบครัวใดมีภรรยาหลายคน มีลูกเกิดจากหลายแม่ เด็กๆ จะแก่งแย่งกัน และ ไม่รักปรองดองเหมือนกับมีแม่เดียว และจะแข่งกันใช้เงิน อันเป็นการผลาญทรัพย์สมบัติของครอบครัว
ส่วน ..... การบริหารเงินออมในครอบครัว สามีภรรยาจะต้องร่วมกันออมทรัพย์ หากคนใดคนหนึ่งเป็นคนใช้ จ่ายฟุ่มเฟือยแล้ว ฝ่ายที่หาเงินย่อมเหนื่อยใจ หรือเงินออมจะไม่โตเร็วเท่าที่ควร
"ผมโชคดีที่ได้ภรรยาเป็นผู้ทำงานหาเงินและรู้จักประหยัด 20 ปีที่แล้ว ตอนที่แต่งงานกันเรามีเงินรวมกัน แค่ 2 แสนบาท แต่เดี๋ยวนี้เรามีสมบัติมากกว่าที่หลายๆ ครอบครัวเขามีกัน" จากการเปิดบัญชีทรัพย์สิน ดร.สุวรรณและคู่สมรสที่ชื่อ คุณดวงใจ เมื่อวันที่พ้นตำแหน่งรัฐมนตรี (ตุลาคม 2545) พบว่า ดร.เป้ง มีทรัพย์สินมากกว่า 554.9 ล้านบาท ส่วนคุณดวงใจมีทรัพย์สินมากว่า 143.9 ล้านบาท
อย่างนี้ซิ ! ..... ถึงจะเรียกว่า พ่อร้อยล้านสอนนอกจากคำสอนของยอดคุณพ่อแล้ว ลูกๆ ของ ดร.เป้งและคุณดวงใจ ยังมีมรดกกองโตเฉียด 700 ล้านนอนรออยู่ในตู้เซฟ เรียบร้อยแล้ว
เขียนโดย ..... Robert T. Kiyosaki , Sharon L.Lechter C.P.A. [ ฉบับของต่างประเทศ ]
เขียนโดย ..... "ดร.เป้ง" หรือ "สุวรรณ วลัยเสถียร" [ ฉบับของคนไทย ]
แปลโดย ..... นันทวัน รุจิวงศ์
เนื้อหา ..... เป็นหนังสือที่ให้แนวคิดในการสร้างตัว สร้างชีวิต เพื่อนำพาชีวิตให้หลุดพ้นไปจากสิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่า "สนามแข่งหนู" เพื่อไปยังเส้นทางด่วนที่นำไปสู่ความมั่งคั่งและนำไปสู่อิสรภาพทางการเงิน ซึ่งให้ทั้งคำสอนและคำแนะนำเกี่ยวกับความรู้เรื่องการเงิน ซึ่งไม่เคยมีใครสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนแม้กระทั่งในโรงเรียน คนส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาเรื่องการเงิน ซึ่งเป็นเพราะโรงเรียนไม่เคยสอนวิชาการเงิน
ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ..... คนส่วนใหญ่จะทำงานเพื่อเงิน และไม่เคยรู้วิธีใช้เงินทำงานแทนเรา หนังสือเล่มนี้จะแสดงให้เห็นว่า การทำงานเพื่อเงินเดือนสูง ไม่ช่วยให้ร่ำรวยได้ "บ้าน" ไม่ใช่ทรัพย์สินอย่างที่คนส่วนใหญ่คิดกัน แต่มันคือหนี้สินต่างหาก
โรงเรียน ..... ไม่เคยสอนเรื่องการเงินให้เด็กเลย ... ความแตกต่างของคำว่า "ทรัพย์สิน" และ "หนี้สิน" ... วิธีสอนลูกเรื่องการเงินและวิธีประสบความสำเร็จทางการเงินแม้ว่าการเรียนแบบเก่าๆ จะยังมีความสำคัญ แต่ก็ไม่เพียงพอสำหรับโลกปัจจุบัน หนังสือเล่มนี้จึงให้ความรู้เรื่องการเงินและวิธีใช้เงินที่ดีที่สุด
หนังสือเรื่องนี้ ..... ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะพ่อฝรั่งสอนให้ลูกรู้จัก "เส้นทางด่วน" ที่นำไปสู่ความมั่งคั่งและนำไปสู่อิสรภาพทางการเงินอย่างรวดเร็ว
แต่ ..... บางคนคอมเมนต์ว่า พ่อฝรั่ง สอนให้ลูกโกงมากกว่าสอนให้ลูกเป็นคนรวยที่มีความสุข ในขณะที่พ่อผู้ยิ่งใหญ่หลายคนของเมืองไทย กำลังปวดหัวกับลูกนักเลงที่ยิงหัวคนเล่นในผับ หรือขี่รถเบนซ์คะนองเมืองจนเกิดเรื่องเกิดราว หรือไม่ก็พวกลูกคนรวยที่ใช้เวลาและเงินทองของพ่อแม่เอาไปมั่วดารานักร้องหมดไปวันๆ
แต่ ..... พ่อรวยระดับร้อยล้าน เช่น "ดร.เป้ง" หรือ "สุวรรณ วลัยเสถียร" อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไม่เพียงแต่สอนให้ลูกรวยสินทรัพย์เท่านั้นแต่เขายังสอนให้ลูกร่ำรวยความสุข ร่ำรวย สุขภาพจิตอีกด้วย นี่คือ เคล็ด (ไม่) ลับ เรื่อง พ่อรวยสอนลูก ที่ ดร.เป้งตั้งใจเขียนให้คนเป็นพ่อและคนเป็นลูกอ่านล่าสุด หนังสือชุดดังกล่าวพิมพ์แจกจนนับครั้งไม่ถ้วน เพราะใครอ่านก็ชอบ ใครอ่านก็มีความสุข
ดร.เป้งเล่าว่า ..... ช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ครอบครัวไทยล่มสลาย เพราะแต่ละครอบครัวใช้เงิน กันเกินตัว กู้เงินกันมากเกินไป เอาเงินในอนาคตมาใช้เสียหมด พอถึงเวลาภัยพิบัติมา ครอบครัวจำนวนมากจึงล้มกันระเนระนาด
"ผมไม่ได้เขียนให้ลูกผมอ่าน เพราะลูกผมโตหมดแล้ว แต่ผมเขียนให้ครอบครัวไทยอ่านต่างหาก" ดร.เป้งกล่าว
ดร.เป้งเล่าว่า ..... ถ้าหากแต่ละครอบครัวการเงินแข็งแรงมวลรวมของชาติก็จะแข็งแรง ฉะนั้นเคล็ดลับของ "พ่อรวยสอนลูก" ก็คือ ให้ทุกคนบริหารเงินของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน พยายามไม่ให้เสียเงินต้น หรือพยายามหักภาษีให้ได้มากที่สุด หรืออย่าทำประกันจนเกินสมควร (never over-insure )
"ผมเป็นลูกคนจีน คิดอะไรเป็นเซ็งลี้ไปหมด แล้วผมก็รักตลาดเงินตลาดทุนเป็นชีวิตจิตใจ ผมเชื่อว่าสิ่ง ที่ผมรักสามารถสร้างฐานะความเป็นปึกแผ่นได้รวดเร็ว แต่หลังๆ มานี้ ผมโฟกัสเรื่องการออมเงิน การบริหารเงินในครอบครัวมากกว่า"
"คุณแม่ผมเคยสอนผมว่า เราจะรวยหรือจนมันก็เรื่องของเรา เขาจะรวยหรือจนก็เรื่องของเขา ไม่ใช่ว่าเราการเงินไม่ดี เขาฐานะดี เขาขับรถเบนซ์ เราก็สู้กู้หนี้ยืมสินไปซื้อรถเบนซ์มาให้ลูกของเรา ทำอย่างนี้ไม่ถูก มันเกินฐานะเรา" อดีตรัฐมนตรีผู้ร่ำรวยกว่าห้าร้อยล้านกล่าว
เคล็ดลับที่ ดร.สุวรรณ สอน ..... พ่อที่อยากให้ลูกรวยมีหลายประการ เช่นเรื่องโรงเรียนของลูก ไม่จำเป็นต้องส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ เพราะสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุทุกวันนี้การส่งลูกไปเรียนนอกต้องจ่าย ปีละล้านบาท แต่ให้ลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติจ่ายแค่ปีละ 3 แสนบาท แถมลูกยังมีเพื่อนมากและได้ ใกล้ชิดพ่อแม่
"เงินก้อนเพื่อส่งลูกเรียนนอก อาจสูงถึง 20 ล้านบาท ถ้าลูกจบปริญญาตรี แต่ถ้าลูกเรียนเมืองไทย เงินก้อนนี้ก็ไม่ต้องใช้ เมื่อลูกเรียนจบ เงิน 20 ล้านคือเงินเริ่มต้นธุรกิจของลูก โดยไม่ต้องไปกู้ยืมจาก ธนาคาร"
ส่วนเรื่อง ..... การงานของลูก ดร.เป้ง สอนให้ลูกหลีกเลี่ยงการเป็นมนุษย์เงินเดือน เพราะการทำงานกินเงินเดือนเสียภาษีมาก ควรส่งเสริมให้ลูกเป็นผู้ประกอบการจะรวยเร็วกว่า
"ลูกผมอายุ 23 ปี วันนี้เขาลงทุนกับบริษัทสิงคโปร์เพื่อส่งออกปลาสวยงาม ทำงานสัปดาห์ละ 7 วัน บางวันต้องทำงานดึกๆ ถึงตี 2 ตี 3 เพื่อส่งปลาไปสนามบินดอนเมืองในตอนเช้า วันนี้เขามีเงินเดือนหลายหมื่น ลูกผมเขาหวังว่าสักวันจะนำบริษัทปลาเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเพื่อทำให้มูลค่า ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ"
เรื่องต่อมาคือ ..... การลงทุนอย่างฉลาดในลงทุนซื้อบ้านเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย ควรซื้อให้เกินกำลังที่คุณจะซื้อได้ เพราะเมื่อคุณทำงานไปเรื่อยๆ เงินเดือนคุณจะเพิ่มขึ้นไป เมื่อคุณซื้อเกินกำลัง นั่นแสดงว่าคุณซื้อบ้านได้ค่อนข้างดี เมื่อเงินเดือนคุณเพิ่มไปเรื่อยๆ อีกไม่กี่ปีก็เป็นการผ่อนจ่ายตามกำลัง พอผ่านไปอีกก็เป็นการผ่อนจ่ายอย่างสบาย เพราะว่าดอกเบี้ยต่ำมาก ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณซื้อบ้านราคา 10 ล้านบาท โอกาสที่บ้านจะขึ้นราคาเป็น 20 ล้าน หรือ 30 ล้านย่อมเป็นไปได้ แต่ถ้าคุณซื้อบ้าน 1 ล้านจะให้ราคาขึ้นเป็น 10 ล้านเป็นเรื่องยาก ฉะนั้นควรซื้อบ้านในราคาที่เกินกำลังเอาไว้
ข้อดี ..... ประการต่อมาคือ บ้านเป็นทรัพย์สินอย่างเดียวที่คุณใช้ฟรี และใช้ไปราคายิ่งดีขึ้น นอกจากนี้ ดอกเบี้ยที่จ่ายยังหักภาษีได้ปีละ 50,000 บาท ดีกว่าซื้อรถยนต์ราคาแพงหลายเท่า เพราะรถยนต์คุณไปผ่อนดอกเบี้ยหักไม่ได้ มีค่าเสื่อมราคา คุณซื้อรถเบนซ์ 2 ล้านอีกไม่กี่ปีก็ขายได้ 800,000 บาท
ถ้า ..... คุณซื้อบ้าน 3 ล้าน ต่อไปอาจจะขายได้ 5 ล้านก็ได้ แล้วเดี๋ยวนี้กฎหมายพิเศษ ยกเว้น บ้านมือสองขายไม่ต้องเสียภาษีอีก ถ้าคุณเอาเงินไปซื้อบ้านหลังใหม่ภายในปี ต่อมา"บ้านของผมในซอยสุขุมวิท 8 ซื้อมา 5 ล้าน ผมอยู่ฟรีมา 20 ปี ผมไม่ต้องไปเสียค่าเช่า ตอนนี้อย่างน้อยทั้งบ้าน ทั้งที่ดิน ราคาไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท" ยอดคุณพ่อวัย 57 ปี น้ำหนัก 66 กิโลกรัมกล่าว
บ้านหลังนี้ ..... อยู่ใจกลางเมือง ร่มครึ้มเพราะต้นไม้ มีกระรอกวิ่ง เดินออกไปก็ถึงสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ไม่ต้องใส่สูท ไม่ต้องเจอรถติด และไม่ต้องเปลืองค่าน้ำมัน สบายไปแปดอย่าง
จากเรื่องบ้าน ..... ก็มาสู่เรื่องการประกัน ข้อแนะนำของ ดร.เป้งก็คือ อย่าทำประกันชีวิตจนเกินสมควร หลายคนฟังคนขายประกันแล้วรู้สึกเกรงกลัวว่าชีวิตมีความเสี่ยงมาก จึงซื้อประกันเกินความจำเป็น แต่อย่าลืมว่า ถ้าคุณจ่ายเบี้ยประกันเป็นรายปี หากปีใดคุณไม่เจ็บป่วย เบี้ยประกันย่อมสูญเปล่า ดังนั้นจง ประกันแต่เพียงพอ
เช่นเดียวกับ ..... ประกันรถยนต์ ครอบครัวของ ดร.สุวรรณ ประกันรถยนต์ชั้น 3ทุกคัน
"ผมไม่เคยประกันชั้น 1 เลย ชั้นหนึ่งประกัน 30,000 บาท ชั้น 3 ประกัน 3,000 บาท อย่างบ้านของผมรถยนต์ 5-6 คันก็ประหยัดปีหนึ่งเป็นแสนๆ แล้ว" เพราะตามทฤษฎีประกันภัยแล้ว เขาบอกว่า ถ้ารถคันไหน ปีหนึ่งวิ่งไม่เกิน 30,000 กิโลเมตร ประกันชั้น 3 เพราะว่า ความเสี่ยงมันน้อย ถ้าคุณเป็นพนักงานขาย ขับรถเดือนละ 8,000 กิโลเมตร ให้ ประกันชั้นหนึ่งไปเลย
จากนั้น ..... ลูกที่อยากรวย ควรเรียนรู้ เรื่องการสร้างครอบครัว โดยมีข้อแนะนำคือ ลูกต้องยึดหลัก "ผัวเดียวเมียเดียว" หากครอบครัวใดมีภรรยาหลายคน มีลูกเกิดจากหลายแม่ เด็กๆ จะแก่งแย่งกัน และ ไม่รักปรองดองเหมือนกับมีแม่เดียว และจะแข่งกันใช้เงิน อันเป็นการผลาญทรัพย์สมบัติของครอบครัว
ส่วน ..... การบริหารเงินออมในครอบครัว สามีภรรยาจะต้องร่วมกันออมทรัพย์ หากคนใดคนหนึ่งเป็นคนใช้ จ่ายฟุ่มเฟือยแล้ว ฝ่ายที่หาเงินย่อมเหนื่อยใจ หรือเงินออมจะไม่โตเร็วเท่าที่ควร
"ผมโชคดีที่ได้ภรรยาเป็นผู้ทำงานหาเงินและรู้จักประหยัด 20 ปีที่แล้ว ตอนที่แต่งงานกันเรามีเงินรวมกัน แค่ 2 แสนบาท แต่เดี๋ยวนี้เรามีสมบัติมากกว่าที่หลายๆ ครอบครัวเขามีกัน" จากการเปิดบัญชีทรัพย์สิน ดร.สุวรรณและคู่สมรสที่ชื่อ คุณดวงใจ เมื่อวันที่พ้นตำแหน่งรัฐมนตรี (ตุลาคม 2545) พบว่า ดร.เป้ง มีทรัพย์สินมากกว่า 554.9 ล้านบาท ส่วนคุณดวงใจมีทรัพย์สินมากว่า 143.9 ล้านบาท
อย่างนี้ซิ ! ..... ถึงจะเรียกว่า พ่อร้อยล้านสอนนอกจากคำสอนของยอดคุณพ่อแล้ว ลูกๆ ของ ดร.เป้งและคุณดวงใจ ยังมีมรดกกองโตเฉียด 700 ล้านนอนรออยู่ในตู้เซฟ เรียบร้อยแล้ว
Posted in: พ่อรวยสอนลูก
ก้าวเดินต่อไปสู่ความร่ำรวยมั่งคั่ง
02:15
TavornElectriGroup
No comments
ดีครับ จากที่ทุกท่านได้อ่าน เรื่อง เงินสี่ด้าน มาแล้ว คงพอจะนึกออกนะครับ ว่าความร่ำรวยมั่งคั่งนั้น ไม่อยากแล้วก็ไม่ง่ายจนเกินไป
ถามว่าถ้าคุณจะเป็นเจ้าของกิจการ ฝั่ง B แต่คุณก็ยังเป็นพนักงานเงินเดือนปกติ จะหาเงินลงทุนมาจากไหน เปิดร้าน จ้างลูกน้อง ดูแลร้าน ค่าเช่า ต่างๆ นาๆ เยอะแยะไปหมด คู่แข่งก็เยอะอีก ท่าทางคนไม่มีทุนคงไม่มีหวัง หรือ จะรอเก็บเงินก่อนแล้วค่อยลงทุน (พอมีเงินมาลงทุนแล้วเจ๊งละจะทำไง?? อายุก็ผ่านไปเรื่อยๆ ล้มๆ ลุกๆ กว่าจะได้ก็ แก่แล้วไม่ทันได้ใช้เงินที่หามา 555)
บทสรุปคือ ถ้าคุณไม่ทำอะไร กินเงินเดือนไปเรื่อยๆ บอกตรงๆ ไม่มีวันรวยครับ ในชีวิตลูกจ้าง
แล้วทำไงจะรวยได้ละ ก็ธุรกิจเครือข่าย อย่างที่บอกครับ เป็นการรวยทางลัดที่เร็วที่สุด และไม่ผิดกฏหมาย
แล้ว ถามต่อ ว่า ถ้าเป็นธุรกิจเครื่อข่าย มีเยอะแยะไปหมด จะทำที่ไหน ทำกับใครแล้วอะไรเป็นสิ่งสำคัญในการประสบความสำเร็จ (เพราะคนทำ mlm ล้มมาเยอะที่ไม่สำเร็จ คนที่สำเร็จก็มีให้เห็น คนไม่สำเร็จก็มีให้เห็น แล้วเราจะสำเร็จได้ก็มีเทคนิคครับ ทุกอย่างต้องมีเทคนิคอยู่ แล้ว ไม่ง่ายครับ 55 ติดตามตอนต่อไป กับเรา Club-rich 4u
ถามว่าถ้าคุณจะเป็นเจ้าของกิจการ ฝั่ง B แต่คุณก็ยังเป็นพนักงานเงินเดือนปกติ จะหาเงินลงทุนมาจากไหน เปิดร้าน จ้างลูกน้อง ดูแลร้าน ค่าเช่า ต่างๆ นาๆ เยอะแยะไปหมด คู่แข่งก็เยอะอีก ท่าทางคนไม่มีทุนคงไม่มีหวัง หรือ จะรอเก็บเงินก่อนแล้วค่อยลงทุน (พอมีเงินมาลงทุนแล้วเจ๊งละจะทำไง?? อายุก็ผ่านไปเรื่อยๆ ล้มๆ ลุกๆ กว่าจะได้ก็ แก่แล้วไม่ทันได้ใช้เงินที่หามา 555)
บทสรุปคือ ถ้าคุณไม่ทำอะไร กินเงินเดือนไปเรื่อยๆ บอกตรงๆ ไม่มีวันรวยครับ ในชีวิตลูกจ้าง
แล้วทำไงจะรวยได้ละ ก็ธุรกิจเครือข่าย อย่างที่บอกครับ เป็นการรวยทางลัดที่เร็วที่สุด และไม่ผิดกฏหมาย
แล้ว ถามต่อ ว่า ถ้าเป็นธุรกิจเครื่อข่าย มีเยอะแยะไปหมด จะทำที่ไหน ทำกับใครแล้วอะไรเป็นสิ่งสำคัญในการประสบความสำเร็จ (เพราะคนทำ mlm ล้มมาเยอะที่ไม่สำเร็จ คนที่สำเร็จก็มีให้เห็น คนไม่สำเร็จก็มีให้เห็น แล้วเราจะสำเร็จได้ก็มีเทคนิคครับ ทุกอย่างต้องมีเทคนิคอยู่ แล้ว ไม่ง่ายครับ 55 ติดตามตอนต่อไป กับเรา Club-rich 4u
Posted in: clubrich4u
ธุรกิจเครือข่าย
02:00
TavornElectriGroup
No comments
บทสรุป
ถ้าคุณคิดจะทำธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายแล้ว ผมก็ใคร่ขอแนะนำให้คุณปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
2. กำหนดเวลาแน่นอนที่จะทุ่มเทเพื่อทำธุรกิจนี้สัก 5 ปี, 2 ปี, 1 ปี, หรือสัก 6 เดือน
พ่อรวยของผมพูดว่า “ความแตกต่างระหว่างผู้ชนะและผู้แพ้กำหนดด้วยเส้นชัยของเขา ผู้ชนะไม่สนใจว่าเขาจะเป็นคนแรกหรือเป็นคนสุดท้ายที่เข้าเส้นชัย สิ่งที่เขาสนใจก็คือเขาจะต้องไปถึงเส้นชัยนั้นให้ได้ ส่วนผู้แพ้นั้นตัดสินใจเลิกก่อนที่จะไปถึงเส้นชัยทุกที ฉะนั้นทุกๆวัน ตลอดชีวิตของพวกเขา เขาจึงได้วิ่งเพียงแค่วันละ 95 เมตรเท่านั้น แทนที่จะวิ่งไปให้ถึงเส้นชัย 100 เมตร”
3. ยึดมั่นกับเป้าหมายของคุณ เมื่อคุณตัดสินใจแล้วก็จงอย่าทำแบบคนที่ไม่ประสบความสำเร็จทำ นั่นก็คือการเปลี่ยนใจ ถ้าคุณตัดสินใจที่จะลองทำธุรกิจดูแล้ว สมมติว่าสักหนึ่งปี ในปีนั้นทั้งปี คุณจะต้องเข้าอบรมทุกการอบรมที่ผู้สปอนเซอร์ของคุณแนะนำ แล้วคุณจะค่อยๆ เข้าใจเรื่องต่างๆ มากขึ้น ผมเองก็ได้พบว่าหลังจากที่ไปร่วมประชุมกับพวกเขาได้ถึง 5 ครั้ง ผมก็เริ่มเข้าใจสิ่งที่ผมไม่เข้าใจมาก่อน และความคิดของผมก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
4. กำหนดเป้าหมายที่คุณต้องการทำให้สำเร็จขึ้นมา เช่น คุณต้องการที่จะ มีแค่รายได้เพิ่มขึ้นอีกสักสองสามดอลลาร์ต่อเดือน หรือหารายได้มาแทนรายได้จากงานประจำ หรือเป็นเศรษฐีที่มีรายได้สักหนึ่งล้านเหรียญต่อปี
5. ศึกษาอย่างจริงจังราวกับว่า นี่คือโอกาสเดียวที่คุณมีเหลืออยู่… และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
6. ฝันให้ใหญ่… และอย่าละสายตาจากมันเป็นอันขาด ถึงแม้ว่าคุณจะยังไม่สามารถบรรลุถึงความใฝ่ฝันของคุณก็ตาม การมีความใฝ่ฝันที่ใหญ่แล้วพยายามทำให้มันเป็นจริง ดีกว่ามีเพียงความใฝ่ฝันเล็กๆ และทำได้แค่ความใฝ่ฝันแบบเล็กๆ เท่านั้น อย่างที่พ่อรวยของผมพูดว่า “ความแตกต่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จมากกับคนที่ประสบความสำเร็จน้อย อยู่ตรงที่ขนาดของความใฝ่ฝันของเขานั่นเอง”
พ่อรวยของผมกล่าวว่า “คนที่รวยที่สุดในโลก มองหาวิธีการสร้างเครือข่าย ในขณะที่คนอื่นๆ มองหางานทำ”
โรเบิร์ต ที. คิโยซากิ
ผู้เขียนหนังสือ “พ่อรวยสอนลูก” และหนังสือชุดพ่อรวย
ถ้าคุณคิดจะทำธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายแล้ว ผมก็ใคร่ขอแนะนำให้คุณปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
2. กำหนดเวลาแน่นอนที่จะทุ่มเทเพื่อทำธุรกิจนี้สัก 5 ปี, 2 ปี, 1 ปี, หรือสัก 6 เดือน
พ่อรวยของผมพูดว่า “ความแตกต่างระหว่างผู้ชนะและผู้แพ้กำหนดด้วยเส้นชัยของเขา ผู้ชนะไม่สนใจว่าเขาจะเป็นคนแรกหรือเป็นคนสุดท้ายที่เข้าเส้นชัย สิ่งที่เขาสนใจก็คือเขาจะต้องไปถึงเส้นชัยนั้นให้ได้ ส่วนผู้แพ้นั้นตัดสินใจเลิกก่อนที่จะไปถึงเส้นชัยทุกที ฉะนั้นทุกๆวัน ตลอดชีวิตของพวกเขา เขาจึงได้วิ่งเพียงแค่วันละ 95 เมตรเท่านั้น แทนที่จะวิ่งไปให้ถึงเส้นชัย 100 เมตร”
3. ยึดมั่นกับเป้าหมายของคุณ เมื่อคุณตัดสินใจแล้วก็จงอย่าทำแบบคนที่ไม่ประสบความสำเร็จทำ นั่นก็คือการเปลี่ยนใจ ถ้าคุณตัดสินใจที่จะลองทำธุรกิจดูแล้ว สมมติว่าสักหนึ่งปี ในปีนั้นทั้งปี คุณจะต้องเข้าอบรมทุกการอบรมที่ผู้สปอนเซอร์ของคุณแนะนำ แล้วคุณจะค่อยๆ เข้าใจเรื่องต่างๆ มากขึ้น ผมเองก็ได้พบว่าหลังจากที่ไปร่วมประชุมกับพวกเขาได้ถึง 5 ครั้ง ผมก็เริ่มเข้าใจสิ่งที่ผมไม่เข้าใจมาก่อน และความคิดของผมก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
4. กำหนดเป้าหมายที่คุณต้องการทำให้สำเร็จขึ้นมา เช่น คุณต้องการที่จะ มีแค่รายได้เพิ่มขึ้นอีกสักสองสามดอลลาร์ต่อเดือน หรือหารายได้มาแทนรายได้จากงานประจำ หรือเป็นเศรษฐีที่มีรายได้สักหนึ่งล้านเหรียญต่อปี
5. ศึกษาอย่างจริงจังราวกับว่า นี่คือโอกาสเดียวที่คุณมีเหลืออยู่… และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
6. ฝันให้ใหญ่… และอย่าละสายตาจากมันเป็นอันขาด ถึงแม้ว่าคุณจะยังไม่สามารถบรรลุถึงความใฝ่ฝันของคุณก็ตาม การมีความใฝ่ฝันที่ใหญ่แล้วพยายามทำให้มันเป็นจริง ดีกว่ามีเพียงความใฝ่ฝันเล็กๆ และทำได้แค่ความใฝ่ฝันแบบเล็กๆ เท่านั้น อย่างที่พ่อรวยของผมพูดว่า “ความแตกต่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จมากกับคนที่ประสบความสำเร็จน้อย อยู่ตรงที่ขนาดของความใฝ่ฝันของเขานั่นเอง”
พ่อรวยของผมกล่าวว่า “คนที่รวยที่สุดในโลก มองหาวิธีการสร้างเครือข่าย ในขณะที่คนอื่นๆ มองหางานทำ”
โรเบิร์ต ที. คิโยซากิ
ผู้เขียนหนังสือ “พ่อรวยสอนลูก” และหนังสือชุดพ่อรวย
Posted in: เงินสี่ด้าน,mlm
เงินสี่ด้าน 3
01:55
TavornElectriGroup
No comments
เงิน 4 ด้าน..... ความจริงแห่งชีวิต
E (Employee) - ลูกจ้าง
- ทำงานเพื่อค่าจ้าง
- รายได้ถูกแบ่งตามตำแหน่งงานที่ได้รับมอบหมาย ไม่ใช่ความสามารถ
- ปลายปากกาของนายจ้างเป็นผู้กำหนดวิถีชีวิตและเงินเดือนให้คุณ
- ต้องมีวุฒิในการสมัครเป็น "ลูกจ้าง"
- ขาดอิสรภาพ ต้องเซ็นต์ชื่อ ตอกบัตร หยุดงาน 7 วันเอาซองขาวไปเลย
- ตกงานก็เท่ากับล้มละลาย
- อยู่ในวงจรหนี้สิน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ฯลฯ
S (Self-employed) - ทำธุรกิจส่วนตัว
- ขายเวลาแลกกับเงิน ก็คือการจ้างตัวเองเพื่อทำงาน
- ชอบคิดเองทำเอง, ควบคุมทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่มีนายจ้าง ไม่มีลูกจ้าง
- ประสบการณ์และความรู้เป็นหนึ่งในตัวบ่งชี้ความเสี่ยง ซึ่งมีหลายตัวด้วยกัน
- เจอคู่แข่งที่มีทุนหนากว่า ธุรกิจจะเดินยาก
- อาจจะต้องทนทำ เพราะชอบ อิสระ แต่ไม่มี อิสรภาพ หยุดงานก็ไม่มีรายได้
B (Business Owner) - ผู้ประกอบการ
- มีทุน
- หาคนเก่งๆ มาทำงานให้
- ไม่ทำก็มีรายได้
B มีด้วยกัน 3 ประเภท ดังนี้
1 ทุนน้อย แพ้ทุนคู่แข่ง
2 ทำเลไม่ดี
3 คู่แข่งเยอะ
4 ขาดความเชี่ยวชาญ
5 ประสบการณ์น้อย
6 ประสิทธิภาพของลูกจ้างต่ำ
7 บางธุรกิจต้องลงทุนสูง
8 ความเสี่ยงสูง
2 ซื้อระบบ - ประเภทธุรกิจ แฟรนไซน์ เช่น seven
ธุรกิจแบบนี้มีข้อดีตรงความเสี่ยงต่ำ แต่จะต้องลงทุนสูงมาก
3 การตลาดแบบเครือข่าย - Network Marketing (เป็นช่องทางที่จะเป็น
I (Investor) - นักลงทุน
- ไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน
- มองผลตอบแทนจากการปันผล ดอกเบี้ย
- ซื้อกิจการมาปรับปรุง แล้วขายต่อ
คนฝั่งซ้าย | คนฝั่งขวา |
มี ความกลัว เป็นตัวขับเคลื่อน | มี ความฝัน (ความใฝ่ฝัน) เป็นตัวขับเคลื่อน |
ยึดติดกับงานประจำ | พยายามสร้างงาน |
รายได้จำกัด | รายได้ไม่จำกัด |
คิดเองทำเอง | ทำงานเป็นทีม |
ไม่มีเป้าหมายในชีวิต | มีเป้าหมายชัดเจน |
มองเห็นอุปสรรค | มองเห็นโอกาส |
ไม่เข้าใจคำว่า ทรัพย์สิน หนี้สิน | เข้าใจคำว่าทรัพย์สิน - หนี้สิน |
ทำงานเพื่อเงิน | ใช้เงินทำงาน |
คิดถึงความเสี่ยง | คิดถึงความน่าเสี่ยง |
ยึดติดกับสิ่งเก่า | เรียนรู้สิ่งใหม่ |
ลงทุนในสิ่งที่เห็น | ลงทุนในสิ่งที่คิด |
ไม่มีแผนงาน | มีแผนงานชัดเจน |
ดำเนินชีวิตด้วยตัวเอง | มีที่ปรึกษา |
ชอบออกความเห็น | ชอบหาความจริง |
ชอบมีเงินสดเยอะๆ | ชอบมี กระแสเงินสด สม่ำเสมอ |
ชอบเป็นผู้จัดการ | ชอบเป็นผู้นำ |
ชอบแสดงตัวว่าเก่ง | ชอบมองหาคนเก่ง |
ชอบวิธีการ | ชอบวิธีคิด |
ชอบการเฉลี่ย (ขจัดความเสี่ยง) | ชอบการจดจ่อ (Focus) |
ถูกระบบความคุม | ความคุมระบบ |
เป็นส่วนหนึ่งของระบบ | เป็นเจ้าของระบบ |
เรียนเพื่อประกาศนียบัตร | เรียนเพื่อหาความรู้ |
ชอบเป็นผู้เชี่ยวชาญ | ชอบเป็นผู้รอบรู้ |
ทำงานเพื่อคนอื่น | สร้างงานเพื่อคนอื่น |
อยากทำบุญเยอะๆแต่ไม่มีงบ | ทำบุญทุกครั้งที่มีโอกาส |
ท่านจงเลือกเอาเองว่า จะอยู่ ฝั่งซ้าย หรือ ฝั่งขวา ของ เงินสี่ด้าน
อ้างอิงจาก Rich Dad Pour Dad - เงิน 4 ด้าน ของ Robert T. Kiyosaki
Posted in: เงินสี่ด้าน